วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560

เนื้อหาที่2 ภาษาอังกฤษสำหรับครูปฐมวัย

11.หลักการ แนวคิด เกี่ยวกับภาษาอังกฤษสำหรับครูปฐมวัย

กีเซล (Gesell)
•  พัฒนาการของเด็กเป็นไปอย่างมีแบบแผนและเป็นขั้นตอน เด็กควรพัฒนาไปตามธรรมชาติไม่ควรเร่งหรือบังคับ
•  การเรียนรู้ของเด็กเกิดขึ้นจากการ การเคลื่อนไหว การใช้ภาษา การปรับตัวเข้าสังคมกับบุคคลรอบข้าง
การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก
• จัดกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ
• ให้เด็กได้เล่นกลางแจ้ง
• จัดกิจกรรมสร้างสรรค์ ฝึกการใช้มือและ ประสาทสัมพันธ์มือกับตา
• จัดกิจกรรมให้เด็กได้ฟัง ได้พูดท่องคำคล้องจอง ร้องเพลง ฟังนิทาน
• จัดให้เด็กทำกิจกรรมเดี่ยวและกิจกรรมกลุ่ม
ฟรอยด์ (Freud)
      ประสบการณ์ในวัยเด็กส่งผลต่อบุคลิกภาพ ของคนเราเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ หากเด็กไม่ได้รับการตอบสนองอย่างเพียงพอ จะเกิดอาการชะงัก พฤติกรรมถดถอย คับข้องใจส่งผลต่อพัฒนาการของเด็ก
การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก
•  ครูเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งการแสดงออก ท่าทีวาจา
•  จัดกิจกรรมเป็นขั้นตอน จากจ่ายไปหายาก
• จัดสิ่งแวดล้อมที่บ้านและโรงเรียนเพื่อส่งเสริมพัฒนาบุคลิกภาพของเด็ก
อีริคสัน (Erikson)

• ถ้าเด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เด็กพอใจ ประสบผลสำเร็จ เด็กจะมองโลกในแง่ดี มีความเชื่อมั่นและไว้วางใจผู้อื่น

• ถ้าเด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ไม่พอใจจะมองโลกในแง่ร้าย ขาดความเชื่อมั่นในตนเองและไม่ไว้วางใจผู้อื่น
การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก
•  จัดกิจกรรมให้เด็กได้ประสบผลสำเร็จ พึงพอใจต่อสภาพแวดล้อมของห้องเรียน เพื่อนครู
•  จัดบรรยากาศในห้องเรียน ให้เด็กมีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อสภาพแวดล้อม ครูและเพื่อน ๆ
เพียเจท์ (Piaget)
• พัฒนาการทางด้านเชาว์ปัญญาของเด็กเกิดจากการที่เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวเด็ก มีการรับรู้จากสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา และมีการปรับขยายประสบการณ์เดิม ความคิดและความเข้าใจให้ขยายมากขึ้น
• พัฒนาการของเด็กปฐมวัย (0 – 6 ปี)
1. ขั้นประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหววัย 0 – 2 ปี เด็กเรียนรู้ทุกอย่างทางประสาทสัมผัสทุกด้าน
2. ขั้นความคิดก่อนปฏิบัติการวัย 2 – 6 ปี เริ่มเรียนภาษาพูดและภาษาท่าทางในการสื่อสารยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง คิดหาเหตุผลไม่ได้จัดหมวดหมู่ได้ตามเกณฑ์ของตนเอง
การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก
• จัดกิจกรรมให้เด็กได้ใช้ประสาทสัมผัส ทั้ง 5
•  จัดให้เด็กฝึกฝนทักษะ การสังเกต การจำแนก เปรียบเทียบ
• จัดกิจกรรมให้เด็กมีโอกาสคิดหาเหตุผลเลือก และตัดสินใจสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง
• จัดให้เด็กได้เรียนรู้จากสิ่งใกล้ตัวไปสู่เรื่องไกลตัว และมีลักษณะที่เป็นรูปธรรม
ดิวอี้ (Dewey)
เด็กเรียนรู้โดยการกระทำ
การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก
• จัดกิจกรรมให้เด็กได้ประสบผลสำเร็จพึงพอใจต่อสภาพแวดล้อมของห้องเรียนเพื่อน ครู
• จัดบรรยากาศในห้องเรียน ให้เด็กมีโอกาสสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อสภาพแวดล้อม ครูและเพื่อน ๆ

สกินเนอร์  (Skinner)
• ถ้าเด็กได้รับการชมเชย และประสบผลสำเร็จในการทำกิจกรรม เด็กสนใจที่ทำต่อไป
• เด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ไม่มีใครเหมือนใคร
การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก
• ให้แรงเสริม เช่น ชมเชย ชื่นชม เมื่อเด็กทำกิจกรรมประสบผลสำเร็จ
•  ไม่นำเด็กมาเปรียบเทียบแข่งขันกัน
เปสตาลอสซี่ (Pestalozzi)
• ความรักเป็นพื้นฐานสำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาเด็ก ทั้งด้านร่างกายและสติปัญญา
• เด็กแต่ละคนแตกต่างกัน ทั้งด้านความสนใจความต้องการ และระดับความสามารถในการเรียน
• เด็กไม่ควรถูกบังคับให้เรียนรู้ด้วยการท่องจำ
การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก
จัดกิจกรรมเตรียมความพร้อม ให้ความรักให้เวลา และให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์
เฟรอเบล (Froeble)
• ควรส่งเสริมพัฒนาการตามธรรมชาติของเด็กด้วยการกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์อย่างเสรี
• การเล่นเป็นการทำงานและการเรียนรู้ของเด็ก
การปฏิบัติการพัฒนาเด็ก
จัดกิจกรรมเรียนรู้ผ่านการเล่นอย่างเสรี

ตัวอย่างหลักการ และแนวคิด การสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กปฐมวัย
การสอนภาษาแบบธรรมชาติ

การสอนภาษาแบบธรรมชาติ (Whole Language Approach) คือ การที่เด็กได้เรียนรู้การใช้ภาษาทั้งด้านการฟัง พูด อ่าน เขียนไปตามธรรมชาติ อย่างมีความหมาย สอดคล้องเหมาะสมกับวัย โดยไม่แยกว่าต้องอ่านก่อน หรือเขียนก่อน แต่จะเน้นให้เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเอง เช่น อ่านนิทาน เล่าเรื่องราว ฟังนิทานที่ครูหรือเพื่อนเล่า เขียนคำที่ตนสนใจจากเรื่องที่ได้อ่านหรือได้ฟัง เป็นต้น
การสอนภาษาแบบธรรมชาติมีที่มาอย่างไร?

การสอนภาษาแบบธรรมชาติ (Whole Language Approach) เกิดจากหลักการและแนวคิดของนักการศึกษา นักวิจัยทางภาษาที่มีชื่อเสียง คือ Jean Piaget ผู้เชื่อว่า การที่เด็กได้เคลื่อนไหวสัมผัสสิ่งต่างๆ รอบตัวจะเป็นการคิดสร้างความรู้ขึ้นภายในตนหรือเด็กเป็นผู้กระทำ (Active) มิใช่การรับเข้าไปเฉยๆ (Passive) การเรียนรู้ของเด็กเกิดจากอิทธิพลของสังคมและผู้อื่น จึงเน้นให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ ซึ่งการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเสียงกับภาพ เสียงกับตัวอักษร เป็นความรู้เกี่ยวกับตัวอักษรที่เป็นองค์ประกอบหนึ่งของการอ่านของเด็ก เชื่อว่าการสอนภาษาเป็นความสำคัญที่เด็กจะใช้เพื่อการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของเด็กและภาษามีความหมายต่อชีวิต การเรียนภาษาต้องมาจากสิ่งที่เป็นจริงและเกี่ยวข้องกับเด็ก โดยเรียนภาษาแบบองค์รวมคือ เรียน ฟัง พูด อ่าน เขียน ไปพร้อมกัน การสอนภาษาแบบธรรมชาติแพร่หลายในประเทศ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกา และแคนาดา มาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา สำหรับประเทศไทย มูลนิธิไทย-อิสราเอลนำมาเผยแพร่ในช่วงปี พ.ศ. 2538 – 2539 มีนักการศึกษาไทยนำไปใช้และศึกษาวิจัย
การสอนภาษาแบบธรรมชาติมีลักษณะอย่างไร?

  • เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ เด็กมีโอกาสเลือกกิจกรรมปฏิบัติอย่างอิสระ ครูเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้ และร่วมมือจัดการเรียนการสอนร่วมกันระหว่างเด็กกับครู ตั้งแต่วางแผนการเรียนว่า จะทำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร ใช้อุปกรณ์อะไรและใครร่วมรับผิดชอบบ้าง
  • คำนึงถึงการมีปฏิสัมพันธ์ของเด็กกับสังคม เพราะเด็กจะต้องอยู่ในสังคม ห้องเรียนเป็นสังคมหนึ่ง ที่ครูสร้างความรู้สึกที่ดีให้เด็กอยู่ในกลุ่มเพื่อนอย่างมีความสุข โดยไม่มีกลุ่มเด็กเรียนเก่ง เรียนอ่อนในห้องเรียน
  • สนับสนุนให้เด็กใช้ภาษาแบบองค์รวมเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ดังนั้นเด็กจะได้ ฟัง พูด อ่านเขียน เพื่อสื่อสารกับผู้อื่นอย่างมีจุดมุ่งหมาย มิใช่การทำแบบฝึกหัดและแยกสอนทักษะภาษา
  • เด็กเรียนรู้ภาษาจากการเลียนแบบ ดังนั้น ครู พ่อแม่ และทุกคนที่อยู่รอบตัวเด็กจึงมีความหมายต่อการเรียนรู้ภาษาของเด็ก เด็กจะเห็นผู้ใหญ่ใช้ภาษาหลายจุดมุ่งหมาย หลายวิธีการ เพราะเป็นเครื่องมือสื่อสารของคนเรา เช่น ฟังเพลงเพื่อความบันเทิง หรือฟังบรรยายเพื่อเก็บความรู้ การอ่านเพื่อเพลินเพลิด หรือการอ่านเพื่อเก็บความรู้ เป็นต้น
  • ผู้ใหญ่เป็นนักอ่านที่ดีให้เด็กเห็นเป็นแบบอย่าง และผู้ใหญ่อ่านหนังสือให้เด็กฟัง ให้เด็กมีโอกาสซึมซับภาษา (immersion) เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ภาษา
  • เชื่อว่าเด็กทุกคนเรียนรู้ภาษาได้ โดยครูทราบเช่นกันว่า เด็กเรียนรู้ภาษาแบบธรรมชาติเป็นอย่างไร
  • เด็กสามารถเกิดประสบการณ์ทางภาษาได้ตลอดเวลาในวันหนึ่งๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน ดังนั้น การที่เด็กมาโรงเรียน เขาได้รู้ ได้เห็นสัญลักษณ์ทางภาษารอบตัว เช่น ป้ายทะเบียนรถ ป้ายชื่อร้านค้า เครื่องหมายจราจร เป็นต้น เด็กได้ยิน ได้ฟัง ได้สนทนาโต้ตอบ เป็นการใช้ภาษา
  • เด็กอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีภาษาหรือตัวหนังสือ ในห้องเรียนจะมีหนังสือสำหรับเด็กอย่างเพียงพอกับจำนวนเด็ก มีมุมอ่าน มุมเขียน มุมห้องสมุด มีป้ายประกาศต่างๆ ที่ทำให้เด็กคุ้นเคยกับภาษา เช่น ป้ายชื่อ ป้ายติดผลงาน ป้ายข่าวและเหตุการณ์ มีมุมหุ่น มุมนิทานให้เด็กได้ใช้ภาษาพูด เล่าเรื่องราว เป็นต้น
  • เด็กได้เรียนภาษาอย่างมีความสุข โดยครูจัดการเรียนการสอนที่น่าสนใจ มีความสนุกสนาน เนื้อหาที่เรียนมีอยู่จริงในชีวิตประจำวัน
  • เด็กได้รับการสนับสนุนจากครูและพ่อแม่ให้อ่านหนังสือ โดยโรงเรียนมีหนังสือให้เด็กยืมกลับบ้านไปอ่าน
  • ครูจัดหาหนังสือเพิ่มเติมให้เด็กเสมอ อาจจะหมุนเวียน เปลี่ยนสลับระหว่างห้องเรียน และได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครองจัดหามาให้ยืม
การสอนภาษาแบบธรรมชาติมีประโยชน์ต่อเด็กปฐมวัยอย่างไร?

  • เด็กเรียนด้วยความสุข เพราะบทเรียนเกิดจากความต้องการของแด็ก
  • เด็กจะอ่านออกเขียนได้โดยวิธีธรรมชาติ เพราะเกิดจากการคุ้นเคยกับหนังสือและมีประสบการณ์กับตัวหนังสือ
  • เด็กจะมีทัศนคติที่ดีกับภาษา เพราะเด็กเกิดการเรียนรู้ภาษาด้วยตนเอง เป็นการสร้างแรงจูงใจภายใน
  • เด็กจะตระหนักรู้ว่า ภาษามีความหมายในชีวิตเพราะเขาเรียนภาษาอย่างมีความหมาย เนื่องจากเขาได้รับประสบการณ์ทางภาษาที่มีอยู่จริง เช่น ภาษาอยู่ที่จดหมาย หนังสือพิมพ์ เสียงเพลง นิทาน ฉลากข้างกล่องใส่ขนมหรืออาหาร เป็นต้น
  • เด็กจะมีบุคลิกภาพที่ดี เพราะมั่นใจในการสื่อสาร ไม่กลัวผิด
  • เด็กจะมีสังคม เพราะการเรียนการสอนเน้นการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
  • เด็กจะได้รับการส่งเสริมทักษะทางภาษาทั้ง 4 ด้าน คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน เพราะได้รับการส่งเสริมภาษาแบบบูรณาการ
  • เด็กจะรักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองจากการอ่านหนังสือ
  • สมองของเด็กได้รับการพัฒนาอย่างถูกวิธี คือ ได้คิด เพราะได้สัมผัสสิ่งของ ทำให้กล้าม เนื้อมือของเด็กได้รับการกระตุ้น เราจะสังเกตเห็นว่าเด็กชอบใช้มือแคะ แกะ ละเลง ลูบมือตามฝาผนัง การกระทำเช่นนั้นส่งผลให้เด็กคิดไปด้วย การคิดเป็นอาหารของสมอง สมองเด็กที่ได้ รับการกระตุ้นจะเป็นเด็กฉลาด
 การสอนภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร
การสอนภาษาอังกฤษตามแนวสื่อสาร (Communicative Language Teaching  (CLT)
 การสอนตามแนวสื่อสารคืออะไร มีความเป็นมาอย่างไร
          การสอนตามแนวสื่อสารได้ถูกพัฒนาขึ้นครั้งแรก ในแถบอเมริกาเหนือและยุโรปในช่วงปี 1970 การสอนตามแนวสื่อสารเกิดขึ้นในยุโรป เพราะในช่วงเวลาดังกล่าวมีผู้อพยพเข้าไปอาศัยในยุโรปเป็นจำนวนมาก สมาพันธ์ยุโรป (Council of Europe) จึงมีความจำเป็นต้องพัฒนาหลักสูตรการสอนภาษาที่สองแบบเน้นหน้าที่และสื่อความหมาย (functional national syllabus design) เพื่อช่วยให้ผู้อพยพสามารถใช้ภาษาที่สองในการสื่อสาร ในส่วนของอเมริกาเหนือไฮมส์ (Hymes) ได้ใช้คำว่า ความสามารถในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร (communicative competence) หมายถึงความสามารถในการปฎิสัมพันธ์ หรือปะทะสังสรรค์ทางด้านสังคม (social interaction) ซึ่งความสามารถทางด้านภาษาที่สำคัญที่สุดคือ ความสามารถที่จะพูด หรือเข้าใจคำพูดที่อาจไม่ถูกหลักไวยากรณ์ แต่มีความหมายเหมาะสมกับสภาพการณ์ที่คำพูดนั้นถูกนำมาใช้ (Savignon, 1991)

       การสอนภาษาแบบสื่อสาร (Communicative Language Teaching - CLT) คือแนวคิดซึ่งเชื่อมระหว่างความรู้ทางภาษา (linguistic knowledge) ทักษะทางภาษา (language skill) และความสามารถในการสื่อสาร (communicative ability) เพื่อให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้โครงสร้างภาษาเพื่อสื่อสาร (Canale & Swain, 1980 ; Widdowson, 1978). คเนล และสเวน (1980) และเซวิกนอน (Savignon, 1982) ได้แยกองค์ประกอบของความสามารถในการสื่อสารไว้ 4 องค์ประกอบ ดังนี้
          1. ความสามารถทางด้านไวยากรณ์หรือโครงสร้าง (grammatical competence) หมายถึง ความรู้ทางด้านภาษา ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์ โครงสร้างของคำ ประโยค ตลอดจนการสะกดและการออกเสียง
          2. ความสามารถด้านสังคม (sociolinguistic competence) หมายถึง การใช้คำ และโครงสร้างประโยคได้เหมาะสมตามบริบทของสังคม เช่น การขอโทษ การขอบคุณ การถามทิศทางและข้อมูลต่าง ๆ และการใช้ประโยคคำสั่ง เป็นต้น
          3. ความสามารถในการใช้โครงสร้างภาษาเพื่อสื่อความหมายด้านการพูด และเขียน (discourse competence) หมายถึง ความสามารถในการเชื่อมระหว่างโครงสร้างภาษา (grammatical form) กับความหมาย (meaning) ในการพูดและเขียนตามรูปแบบ และสถานการณ์ที่แตกต่างกัน
          4. ความสามารถในการใช้กลวิธีในการสื่อความหมาย (strategic competence) หมายถึง การใช้เทคนิคเพื่อให้การติดต่อสื่อสารประสบความสำเร็จโดยเฉพาะการสื่อสารด้านการพูด ถ้าผู้พูดมีกลวิธีในการที่จะไม่ทำให้การสนทนานั้นนั้นหยุดลงกลางคัน เช่นการใช้ภาษาท่าทาง (body language) การขยายความโดยใช้คำศัพท์อื่นแทนคำที่ผู้พูดนึกไม่ออก เป็นต้น

          จะเห็นได้ว่า CLT ไม่ได้ละเลยโครงสร้างทางไวยากรณ์ แต่ในการสอนโครงสร้างทางไวยากรณ์ต้องเน้นการนำหลักไวยากรณ์เหล่านี้ไปใช้ เพื่อการสื่อความหมายหรือการสื่อสารคเนล และสเวน (Canale & Swain, 1980) อธิบายไว้อย่างชัดเจนถึงความสำคัญของกฎเกณฑ์และโครงสร้างทางภาษา ถ้าปราศจากกฎเกณฑ์ และโครงสร้างแล้วความสามารถทางการสื่อสารของผู้เรียนจะถูกจำกัด ดังนั้น ความคล่องแคล่วในการใช้ภาษา (fluency) และความถูกต้องในการใช้ภาษา (accuracy) จึงมีความสำคัญเท่ากัน

บทบาทของผู้เรียน (Learner Roles)

           บรีนและแคนดริน (อ้างใน Richards & Rodgers, 1995) อธิบายบทบาทของผู้เรียนตามแนว CLT ผู้เรียนคือผู้ปรึกษา (negotiator) การเรียนรู้เกิดจากการปรึกษาหารือในกลุ่มผู้เรียน โดยผู้สอนจัดกิจกรรม ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสทำงานร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ จุดมุ่งหมายหลักในการทำกิจกรรมกลุ่มคือมุ่งให้ผู้เรียนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน รู้จักการให้พอ ๆ กับการรับ

บทบาทของครู (Teacher Roles)

 ครูมีบทบาทที่สำคัญ 3 บทบาท คือ
          -ผู้ดำเนินการ (organizer, facilitator)เตรียมและดำเนินการจัดกิจกรรม
          -ผู้แนะนำหรือแนะแนว (guide) ขั้นตอนและกิจกรรมต่าง ๆ และ
          -เป็นผู้วิจัยและผู้เรียน (researcher, learner) เรียนรู้พฤติกรรมการเรียนของนักเรียนแต่ละคน
         
          นอกจากนั้นครูอาจมีบทบาทอื่น ๆ เช่น ผู้ให้คำปรึกษา(counselor) ผู้จัดการกระบวนการกลุ่ม (group process manager) ครูตามแนวการสอนแบบCLT เป็นครูที่เป็นศูนย์กลางน้อยที่สุด (less teacher centered) นั่นคือครูมีหน้าที่ดำเนินการจัดกิจกรรมเพื่อการสื่อสารและในช่วงที่นักเรียนทำกิจกรรมครูจะกระตุ้นให้กำลังใจช่วยเหลือให้ผู้เรียนสามารถใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารให้ได้ความหมายและถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ อันเป็นการเชื่อมช่องว่างระหว่างความสามารถทางไวยากรณ์ (grammar competence) และความสามารถทางด้านสื่อสาร (communicative competence) ของผู้เรียน

บทบาทของสื่อการเรียนการสอน (The Role of Instructional Materials)
          การสอนตามแนว CLT จำเป็นที่ต้องใช้สื่อที่หลากหลาย เพราะสื่อมีความสำคัญต่อการเรียนแบบปฏิสัมพันธ์หรือการเรียนแบบร่วมมือและการฝึกใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร สื่อที่สำคัญ 3 อย่างที่ใช้สำหรับการสอนตามแนว CLT ได้แก่ เนื้อหา (text-based) งาน/กิจกรรม (task-based) ของจริง(realia)
          - เนื้อหา (text-based material) ในปัจจุบันมีตำราเรียนจำนวนมากมายที่สอดคล้องกับการเรียน/สอนตามแนว CLT ซึ่งการออกแบบตำราเรียนกิจกรรมและเนื้อหาแตกต่างจากตำราที่แต่งขึ้นมาเพื่อสอนไวยากรณ์ ยกตัวอย่าง แบบเรียน CLT จะไม่มีแบบฝึกหัด (drill) หรือโครงสร้างประโยคส่วนมากแบบเรียนที่เน้น CLT จะประกอบไปด้วยข้อมูลในรูปต่าง ๆ เช่น การจัดสถานการณ์ที่ให้ผู้เรียนแสดงบทบาทสมมุติหรือกิจกรรมคู่ หรืออาจกำหนดเรื่อง (theme) ที่จะเรียนแล้วมีกิจกรรมที่ออกแบบขึ้นมาเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจเรื่องนั้น ๆ
          - งาน/กิจกรรม (task-based material) เกมส์ต่าง ๆ บทบาทสมมุติ การเลียนแบบ และกิจกรรมอื่น ๆ เช่น กิจกรรมการสอบถามแลกเปลี่ยนข้อมูล (gap conversation) กิจกรรม Jigsaw ที่เน้นให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ทำงานเป็นกลุ่มร่วมมือกัน
          - สื่อที่เป็นของจริง (realia) CLT เน้นการใช้สื่อที่เป็นของจริง (authentic material) เช่น ป้ายประกาศโฆษณา หนังสือพิมพ์รูปภาพ แผนที่ เป็นต้น

 กระบวนการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร


1.ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน (Warm up/Lead in) มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักเรียนเกิดความพร้อมและอยากรู้อยากเรียนในบทใหม่  เนื้อหาจะเชื่อมโยงไปสู่สาระสำคัญของบทนั้นๆ เมื่อครูผู้สอนเห็นว่านักเรียนมีความพร้อม เกิดความสนุก และสนใจอยากเรียนแล้ว ก็เริ่มเรียนเนื้อหาต่อไป กิจกรรมที่กำหนดไว้ในขั้นนี้มีหลากหลาย เช่น เล่นเกม ปริศนาคำทาย เพื่อทบทวนความรู้ที่เรียนมาแล้ว
2.ขั้นนำเสนอ (Presentation) ในขั้นนี้ครูจะให้ข้อมูลทางภาษาแก่นักเรียน มีการนำเสนอศัพท์ใหม่เนื้อหาใหม่ให้เข้าใจทั้งรูปแบบและความหมาย กิจกรรมที่กำหนดไว้ประกอบด้วยการให้ฟังเนื้อหาใหม่ ให้นักเรียนฝึกพูดตาม ในขั้นนี้ครูเป็นผู้ให้ความรู้ทางภาษาที่ถูกต้อง และเป็นแบบอย่างที่ถูกต้องในการออกเสียง คือ Informant (ผู้ให้ความรู้) รูปแบบของภาษาจึงเน้นที่ความถูกต้อง (Accuracy) เป็นหลัก
3.ขั้นฝึก (Practice)  ในขั้นนี้นักเรียนจะได้ฝึกใช้ภาษาที่เรียนมาแล้วในขั้นนำเสนอ โดยมีวัตถุประสงค์ให้นักเรียนใช้ภาษาได้ถูกต้อง ขณะเดียวกันก็เน้นเรื่องการใช้ภาษาให้คล่องแคล่ว (fluency) การฝึกอาจจะฝึกทั้งชั้น เป็นกลุ่ม เป็นคู่ หรือรายบุคคล ขั้นนี้เป็นโอกาสที่ครูจะแก้ไขข้อผิดพลาดของนักเรียนในการใช้ภาษา  ซึ่งการแก้ไขข้อผิดพลาดนั้นควรทำหลังการฝึกหากทำระหว่างที่นักเรียนกำลังลองผิดลองถูกอยู่ความมั่นใจที่จะใช้ภาษาให้คล่องแคล่วอาจลดลงได้ กิจกรรมที่กำหนดไว้ในคู่มือครูและแผนการจัดการเรียนรู้ มีทั้งในลักษณะที่กล่าวมานี้ และในลักษณะที่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ฝึกอย่างอิสระ  Learning by Doing
4.ขั้นการใช้ภาษา (Production)  มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นักเรียนนำคำหรือประโยคที่ฝึกมาแล้วมาใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ในรูปแบบกิจกรรมหลากหลาย เพื่อให้เกิดความคล่องแคล่ว (fluency) และเกิดความสนุกสนาน ในขั้นนี้เป็นขั้นที่เน้นนักเรียนเป็นผู้  ทำกิจกรรม ครูคอยให้ความช่วยเหลือ ถ้านักเรียนผิดพลาด อย่าขัดจังหวะ ให้ปล่อยไปก่อน เพื่อให้นักเรียนรู้สึกสบายใจกิจกรรมที่กำหนดไว้มีหลากหลาย เช่น การเล่นเกม การทำชิ้นงาน การทำแบบฝึก การนำเสนอผลงาน
5.ขั้นสรุป (Wrap up)  เป็นขั้นสุดท้ายของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละชั่วโมง จุดประสงค์คือ เพื่อสรุปสิ่งที่ได้เรียนแล้ว กิจกรรมที่เสนอแนะไว้อาจจะเป็นการนำเสนอรายงานของกลุ่ม  ทำแบบฝึกหัดเพื่อสรุปความรู้  หรือเล่นเกมเพื่อทดสอบสิ่งที่เรียนมาแล้ว

สรุปได้ว่า  หลักการ แนวคิดของการสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กปฐมวัยจะต้องเป็นไปตามขั้นตอนตามธรรมชาติของเด็ก โดยการจัดกิจกรรมจะต้องจัดกิจกรรมที่มีความหลากหลายเพื่อพัฒนาทั้งทางด้านร่างกาย  อารมณ์ สังคม สติปัญญาและตอบสนนองความต้องการของเด็กในแต่ละคน ทุกกิจกรรมจะต้องบูรณาการผ่านการเล่นเพราะเด็กปฐมวัยจะเรียนรู้ได้ดีผ่านการเล่น รวมไปถึงจัดบรรยากาศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของเด็กเพื่อเป็นการดึงดูดและสร้างแรงจูงใจให้เด็กสนใจที่จะเรียนรู้มากขึ้น
อ้างอิง http://amonrat220.blogspot.com/2016/05/1.html
 อ้างอิง  https://goo.gl/FMPt3W
อ้างอิง  
http://wilailuckjanekrueng.blogspot.com/2012/11/curriculum-and-instruction-in-english-2.html

2.  ความหมาย ประโยชน์ ของภาษาอังกฤษสำหรับครูปฐมวัย
การศึกษาปฐมวัยหมายถึง
            “การจัดการศึกษาปฐมวัย”  หมายถึง  การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 5 ปี (5  ปี  11 เดือน  29 วัน )  ซึ่งการจัดการศึกษาดังกล่าวจะมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างไปจากระดับอื่น ๆ ทั้งนี้เพราะเด็กในวัยนี้เป็นวัยที่สำคัญต่อการวางรากฐานบุคลิกภาพและการพัฒนาทางสมอง  การจัดการศึกษาสำหรับเด็กในวัยนี้มีชื่อเรียกต่างกันไปหลายชื่อ  ซึ่งแต่ละโปรแกรมก็มีวิธีการและลักษณะในการจัดกิจกรรมซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยพัฒนาเด็กในรูปแบบต่าง ๆ กันการจัดการศึกษาปฐมวัยควรมีส่วนช่วยให้เด็กเกิดพัฒนาการและการเรียนรู้อย่างเต็มที่  ซึ่งแนวคิดในการจัดการศึกษาสำหรับเด็กในวัยนี้ทุกรูปแบบควรมีส่วนสำคัญดังที่มาสโซเกลีย (Massoglia. 1977 : 3 – 4 )  กล่าวเอาไว้ ดังนี้  
    1.  เป็นการส่งเสริมพัฒนาการของเด็กทุกด้าน  นับตั้งแต่แรกเกิดจนถึงเริ่มเข้าเรียนในระดับโรงเรียน            
    2.  วางพื้นฐานทางสุขภาพอนามัยให้กับเด็กตั้งแต่ต้นรวมทั้งเด็กที่มีข้อบกพร่องต่าง ๆ            
    3.  สิ่งแวดล้อมทางบ้านควรมีส่วนช่วยให้เด็กเจริญเติบโต และพัฒนาในทุก ๆ ด้าน            
    4.  พ่อแม่ควรเป็นครูคนแรกที่มีความสำคัญต่อลูก            
    5.  อิทธิพลจากทางบ้านควรมีผลต่อกระบวนการในการพัฒนาเด็ก
สรุปได้ว่า  การศึกษาปฐมวัย เป็นการจัดการศึกษาเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 0-5  ปี เด็กวัยนี้เป็นวัยที่เหมาะกับการวางรากฐานที่ดี  การสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กปฐมวัยจึงจะต้องค่อยเป็นค่อยไปตามขั้นตอนอย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากครูแล้วพ่อแม่ยังเป็นส่วนสำคัญในการฝึกทักษะภาษาอังกฤษให้กับลูกได้ หากพ่อกับแม่มีความเอาใจใส่ คอยฝึกให้ลูกได้ฟัง พูด อ่าน เขียน อย่างสม่ำเสมอ ก็จะทำให้ลูกมีทักษะและใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้อง
ประโยชน์ ของภาษาอังกฤษสำหรับครูปฐมวัย           
ประโยชน์ที่ได้รับจากการเรียนวิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่เราได้ทราบถึงการใช้ภาษาในการพูดและการเขียนและหลักในการใช้คำในการอ่านและการพูด ทำให้สามารถเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น
๑. ทักษะการใช้ภาษา
๒. ลักษณะการใช้ภาษาในการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ
๓. การอ่าน และการฟัง



สรุปได้ว่า การเรียนรู้ภาษาอังกฤษสำหรับเด็ก จะทำให้เด็กสามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลต่างๆในชีวิตประจำวันได้อย่างหลากหลายและถูกต้องตามหลัก

3.ความสำคัญของภาษาอังกฤษสำหรับครูปฐมวัย           
   ความสำคัญของภาษาอังกฤษภาษาอังกฤษได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนไทย และคนทั่วโลกไปแล้ว มนุษยชาติทุกวันนี้สื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารกันโดยตรง การใช้อินเตอร์เน็ต การดูทีวี การดูภาพยนตร์ การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์หนังสือคู่มือทางด้านวิชาการต่างๆ ฯลฯ บัณฑิตที่สำเร็จการศึกษาออกมาในปัจจุบัน ถ้ามีความรู้ภาษาอังกฤษทั้งพูดและเขียนเสริมเข้าไปด้วยอีก โอกาสที่จะหางานก็จะไม่จำกัดแค่ในประเทศไทย เท่านั้น ถ้าท่านเป็นคนหนึ่งที่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ ท่านคงจะไม่ปฏิเสธได้ถึงสิทธิพิเศษที่ท่านมีเหนือคนอื่นที่ไม่สามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ ด้วยเทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ทำให้โลกของเราแคบลงไปถนัดตา ทุกวันนี้ท่านสามารถรับรู้ข่าวสาร หรือติดต่อกับเพื่อนต่างชาติได้ภายในเสี้ยววินาที ท่านจะไม่เข้าถึงสิทธิพิเศษเหล่านี้เลย ถ้าท่านไม่รู้ภาษาอังกฤษ ระบบการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนของไทยหลายท่านอาจจะบอกว่า ประเทศไทยเราก็ให้ความสำคัญกับการเรียนภาษาอังกฤษมาตั้งนานแล้ว แต่ทำไมคนไทยถึงพูดภาษาอังกฤษสู้คนฟิลิปปินส์ไม่ได้เลย นั่นก็เพราะว่าหลักสูตรภาษาอังกฤษของกระทรวงศึกษาธิการของเรายังไม่ได้เน้นการพูดภาษาอังกฤษ จะเน้นแต่หลักไวยากรณ์ คำแปล และการอ่านเพื่อความเข้าใจและให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เป็นส่วนใหญ่ สิ่งที่จะต้องปรับปรุงอย่างมากในระบบการเรียนภาษาอังกฤษของไทยเราคือ การเน้นการพูดออกเสียง ไม่ว่าจะเป็นการออกเสียงพยัญชนะแต่ละตัว การเน้นเสียงหนักเบา ซึ่งจะต้องมีสื่อช่วยสอนที่เป็นมัลติมีเดีย คือ มีทั้งภาพ เสียง และตัวหนังสือ ให้ด้วย แทนระบบเก่าที่มีแต่ตัวหนังสือเท่านั้น ทำให้การออกเสียงตามคำอ่านที่เขียนในตำราหรือพจนานุกรมที่ผิดๆ เช่นคำว่า cat ในพจนานุกรมอังกฤษไทยจะเขียนคำอ่านเป็น แค้ท ซึ่งแปลมาจากคำอ่านพจนานุกรมอังกฤษเป็นอังกฤษ ทำให้คนไทยเข้าใจว่า ไม่ต้องออกเสียงตัว t ที่อยู่ตอนท้ายด้วย น่าจะเขียนคำอ่านเป็น แค่ท-ถึ (ออกเสียง ถึ เบาๆ) แต่ถ้าเราจัดทำสื่อการเรียนการสอนแบบมัลติมีเดีย เด็กก็จะได้ยินทั้งเสียงที่ถูกต้อง ได้เห็นภาพ และตัวหนังสือด้วย ซึ่งทำได้ไม่ยาก และต้นทุนก็ไม่มาก การเรียนของเด็กก็จะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

      สรุปได้ว่า  ภาษาอังกฤษเป็นที่มีความสำคัญและจำเป็นมากสำหรับเด็กปฐมวัย เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสังคม เช่น การเข้าสู่ประชาคมอาเซียน หากเด็กปฐมวัยมีทักษะทางด้านภาษาอังอังกฤษก็จะทำให้เด็กสามารถติดต่อสื่อสารกับบุคคลต่างๆได้อย่างถูกต้อง สามารถพูดคุยกับเพื่อนชาวต่างชาติได้ซึ่งจะก่อให้เกิดการมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน รวมไปถึงการประกอบอาชีพที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในอนาคตข้างหน้า ดังนั้นเด็กปฐมวัยควรได้รับการฝึกทักษะและวางรากฐานภาษาอังกฤษที่ดีและถูกต้อง



เนื้อหาที่1 การออกเสียงในภาษาอังกฤษ


1.การออกเสียงในภาษาอังกฤษ
เสียงพยัญชนะในภาษาอังกฤษ
เสียงพยัญชนะที่ยากต่อการออกเสียงของคนไทยคือ CH, G, L, R, S, SH, TH, V, W, X, และ Z
เสียงพยัญชนะส่วนใหญ่จะเป็นไปตามที่มีการเรียนการสอน โดยเสียงบางคำจะมีการดัดแปลงให้ง่ายต่อการออกเสียง หรืออาจจะมีการอ่านตาม ภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษ เสียงพยัญชนะทั้งหมดเรียงตามลำดับตัวอักษรภาษาอังกฤษดังนี้
  • B -- บ ใบไม้ เช่น boy บอย
  • C -- เป็นได้ทั้ง ซ โซ่ และ ค ควาย และ ก ไก่ โดยส่วนมากจะใช้
    • --CA, CO, CU -- ค ควาย เช่น car คาร์, come คัม, cute คิ้วท์
    • --CE, CI, CY -- ซ โซ่ เช่น cell เซลล์, city ซิตี้, cylinder ไซลินเดอร์
    • --SC -- ก ไก่ เช่น scar สการ์, screen สกรีน, scuba สกูบา
    • อย่างไรก็ตาม มีหลายคำที่ไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนด
  • D -- ด เด็ก เช่น dog
  • F -- ฟ ฟัน เช่น fun
  • G -- จะไม่มีเสียงในภาษาไทย แต่จะเป็นเสียงควบของ ก ไก่ กับ ง งู หรือ เสียงควบของ จ จาน กับ ย ยักษ์
    • -- GA, GE, GO, GU - ออกเสียง ก-ง เช่น gas แก๊ส, get เก็ท, golf กอล์ฟ, gun กัน
    • -- GI - ออกเสียง จ-ย เช่น gigabyte จิกะไบต์ กับ gigantic ไจแกนติค
  • H -- อ่านว่า เอช (ในอังกฤษอเมริกัน) ออกเสียง เหมือน ห หีบ และ ฮ นกฮูก เช่น hello เฮลโล
  • J -- จ จาน เช่น jet เจ็ท
  • K -- เป็นได้ทั้ง ค ควาย และ ก ไก่ และเสียงเงียบ
    • เสียงต้น -- ค ควาย เช่น kilogram คิโลแกรม
    • SK -- ก ไก่ เช่น sky สกาย ski สกี
    • KN -- เสียงเงียบ (ไม่ออกเสียง) เช่น knee, นี knock, น็อค know โนว์
  • L -- คล้ายกับ ล ลิง สำหรับเสียงต้น และคล้ายกับเสียง น-ว แหวน สำหรับเสียงสะกด
    • เสียงต้น เช่น lance แลนซ์, look ลุก
    • เสียงสะกด เช่น mill มิลล์ (เรียกว่า dark L), oil โออิล
      • โดยเสียงของ ตัวอักษร L (เช่น oil, ni, fooll) ออกเสียงโดยการ ลากปลายลิ้นไปแตะที่ปลายฟันเหมือนออกเสียง th
      • การออกเสียงของ LL (เช่น will, full) ออกเสียงโดยการลากปลายลิ้นไปแตะที่ปลายฟันเหมือนออกเสียง th และลากโคนลิ้นไปแตะเพดานอ่อนพร้อมๆ กัน (เสียงจะคล้ายๆ ง-ว)
  • M -- ม ม้า เช่น money มั้นนี่
  • N -- น หนู เช่น no โน
  • P -- พ พาน หรือ ป ปลา
    • เสียงต้น -- พ พาน เช่น pest, เพสท์ Peter พีเทอร์
    • SP -- ป ปลา เช่น span สแปน, spark สปาร์ค, sport สปอร์ต
  • Q -- ค ควาย หรือ ก ไก่
    • QU -- ค ควาย ควบ ว แหวน เช่น queen ควีน
    • SQU -- ก ไก่ ควบ ว แหวน เช่น squid สกวิด, square สแกวร์
  • R -- คล้ายกับ ร เรือ สำหรับเสียงต้น และคล้ายกับคำว่า เออร์ สำหรับเสียงท้าย
    • เสียงต้น เช่น row โรว์
    • เสียงกลางประโยค เช่น born บอร์น
    • เสียงท้าย เช่น fire ไฟเออร์ 
      • โดยเสียงของ ตัวอักษร R ออกเสียงโดยการ ลากลิ้นไปแตะที่เพดานปากด้านบนส่วนหลัง เหมือนคำว่า fire อ่านว่า ไฟ แล้วลากลิ้นไปแตะที่เพดานปาก เสียง เออร์ จะออกมาคล้ายกับเสียง ไฟเออร์
  • S -- เสียงต้น ออกเสียง ส.เสือ ถ้าเป็นเสียงลงท้าย ออกเหมือนเสียง ซือออออ ให้เสียงเหมือนลมผ่านช่องกระจก โดยพูดให้เพียงแค่ลมออกจากปาก และลำคอไม่สั่น เป็นเสียงแบบ voiceless)
    • เสียงต้น S -- sock ซ๊อกค์
    • เสียงท้าย S -- case เคส
  • T -- ท ทหาร หรือ ต เต่า
    • เสียงต้น -- ท ทหาร เช่น tank แทงก์
    • ST -- ต เต่า เช่น street สตรีท, star สตาร์
  • V -- เสียงเหมือน ว แหวน โดยเป็นเสียงที่ใกล้เคียง กับ V F และ B พูดโดยการกัดริมฝีปาก ก่อนออกเสียง ว แหวน เช่น vail เวลล์
  • W (ดับเบิ้ล ยู แต่พูดเร็วเร็ว ก็กลายเป็น ดับ-บ-ลิว) -- เสียงเหมือน ว แหวน แต่มีเสียงก้องในปาก พูดโดยการ ทำปากจู๋ก่อนแล้วตามด้วยออกเสียง ว.แหวน เช่น wow วาว
  • X -- เสียงต้น เป็นเสียง ส เสือ และ ซ โซ่ เสียงท้าย เหมือน ค ควาย รวมกับ เสียง เอส
    • เสียงต้น -- xylem ไซเร็ม
    • เสียงท้าย -- box บ็อกซือ
  • Y -- ย ยักษ์ เช่น young ยัง, you ยู
  • Z -- (อ่านว่า ซี ในอังกฤษอเมริกัน หรือที่อ่านกันว่า เซท ในอังกฤษสำเนียงอื่น - แต่คนไทยออกเสียงว่า แซด) เสียงเหมือน ส เสือ และ ซ โซ่ เช่น zebra ซี-บร่า
    • เสียงอักษร Z ต่างกับ ตัวอักษร C โดยเวลาพูดจะมีการสั่นของเสียง (voice sound) โดยเมื่อเอามือจับที่ใต้ฟันล่าง แล้วพูดเสียงจะมีการสั่นของลำคอ เหมือนกับการออกเสียง บ ใบไม้ กับ พ พาน หรือ เสียง ด เด็ก กับ ท ทหาร (z, บ ใบไม้, พ พาน เป็น เสียงสั่น)
  • ตัวอักษรCH ออกเสียงได้ 3 แบบ ได้แก่ /CH/ /SH/ สำหรับคำที่มาจากภาษาฝรั่งเศส เช่น champaign, Chicago /K/ สำหรับคำที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ การศึกษา ดนตรี ประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นคำที่มาจากภาษากรีก เช่น chaos, stomach, architecture
  • CH -- เสียง ช ช้าง เหมือนเสียง ท ทหาร ตามด้วยเสียง ช ช้าง พูดโดยการ เอาลิ้นแตะโคนฟัน แล้วพูด เฉอะ
  • SH -- เสียง ช ช้างปกติ
    • คำที่เสียงแตกต่างกัน ในขณะที่เสียงไทยใกล้เคียงกัน เช่น ship chip, sheep cheap, shop chop ทดสอบที่โปรแกรมทดสอบแม่แบบ:Fn
  • CH -- เสียง ค ควาย ก็ได้ ถ้าคำที่ใช้ มาจาก กรีก เป็นในทางความหมาย ทาง ประวัติศาสตร์ ดนตรี การแพทย์ การศึกษา ประมาณนี้ เช่น
    • chaos เคออส ความวุ่นวาย stomachache สโตมัคเอค chorus คอรัส
  • TH -- เสียงนี้ ไม่มีของไทย แต่ใกล้เคียงกับ /ด/ /ต/ /ส/ (เชื่อมั้ยละ ว่ามันใกล้กับ ส) เวลาออกเสียง เริ่มแรก กัดลิ้นเบาเบา แล้วพูด เช่น * THAT หรือว่า BATH พูดแล้วตอนจบกัดลิ้น THANK YOU กัดลิ้นแล้วพูดดู ไม่ใช่ แต้งกิ้ว แต่มันจะเป็นเสียง ผสม /ต//ซ/

เสียงสระในภาษาอังกฤษ
สระในภาษาอังกฤษ ประกอบไปด้วย ตัวอักษร A E I O U แต่ในการใช้สระ จะมีการใช้ผสมกันดังต่อไปนี้
  • ee -- เสียงอี เช่น ฟีด feed
  • i -- เสียงอิ เช่น ฟิน fin
  • i -- เสียงไอ เช่น ไบ bi (ถ้าไม่มีตัวอะไรต่อท้าย ส่วนมากจะเป็น) ไอ แต่บางทีก็ไม่ใช่
  • a_e -- เสียง เอ เช่น เฟด fade
  • e -- เสียง เอะ เช่น เฟ็ด fed
  • a -- เสียง a มันจะเป็นเสียงกึ่งระหว่าง แอะ กับ อะ วิธีออกเสียง ให้อ้าปากกว้างสุด แล้วพูด เป็นเสียงระหว่างเสียง แฟด กับ ฟัด fad
  • u -- เสียง เออะ เช่น เคอะ-พ cup
  • o -- คล้ายเสียง เออะ แต่อ้าปากกว้าง cop
  • oo -- boot เสียงสระอู
  • ull -- bull เสียงที่อยู่ระหว่าง สระ อุ กับสระอู
  • o_e -- bone เสียง โอ
  • i_e -- fine เสียง ไอ
  • oi -- coin เสียง ออย
  • ou -- round เสียง อาว
นอกจากนี้ สระที่อ่านออกเสียงแปลกจากสระทั่วไป เนื่องจากมาจาก ภาษาอังกฤษเดิม หรือ ภาษาอื่น เช่นฝรั่งเศส หรือเยอรมัน เช่น
  • come -- อ่านเหมือน cum เป็นภาษาอังกฤษเดิม ที่ มาจากคำว่า cume
  • dove -- อ่านว่า /ดัฟ/ มาจาก duv สำหรับ คำที่เป็นอดีตของ dive (dove) อ่านว่า โดฟ
  • entree -- /อองเทร/ อาหารมื้อหลัก มาจากภาษาฝรั่งเศส
  • hors d'œuvre -- ออร์เดิร์ฟ
คำที่มาจากภาษาอื่น ในปัจจุบันคนอเมริกันทั่วไปยังมีการใช้ผิดกันเกิดขึ้น

2.การลงเสียงเน้นหนักในคำ
การเน้นเสียงในภาษาอังกฤษ Stress
ลักษณะสำคัญของภาษาอังกฤษคือ มีการออกเสียงเน้นหนักเบา ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญอันหนึ่งสำหรับผู้พูดภาษาอังกฤษที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา เพราะถ้าออกเสียงเน้นหนักผิดพยางค์ก็อาจจะทำให้การสื่อสารเกิดความเข้าใจผิดได้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องออกเสียงเน้นหนักเบาให้ถูกต้อง เรามาเริ่มกันเลย

1. ระดับเสียงเน้นหนักที่สุด (Primary Stress) ใช้เครื่องหมาย ( , ) หน้าพยางค์ที่ลงเสียงหนักที่สุดในคำนั้น มีที่สังเกตคือ เสียงดังที่สุดและเสียง pitch สูงจะเกิดในคำเดี่ยวทุกครั้ง เช่น calendar
2. ระดับเสียงรอง (Secondary Stress) ใช้เครื่องหมาย ( ^ ) เหนือพยางค์ที่ลงเสียงรอง เช่น êducátion พยางค์แรกจะได้ secondary stress แต่พยางค์ที่สามจะได้primary stress
3. ระดับเสียงเบาปานกลาง (Teritiary Stress) ใช้เครื่องหมาย ( ` ) เหนือพยางค์ระดับเสียงนี้จะเกิดรวมกับ primary stress ในคำเดี่ยว ๆ ที่มีหลายพยางค์ เช่นfÓotbàll
4. ระดับเสียงเบาที่สุด (Weak Stress) ใช้เครื่องหมาย ( ˇ ) เหนือพยางค์ หรือไมjใส่เครื่องหมายใด ๆ เลย โดยถือว่าพยางค์ที่ไม่มีเครื่องหมายกำกับคือ การไม่ลงเสียงหนัก (unstress) เช่น ŕhythm (พยางค์ที่สองเป็นเสียงเบา)
 นอกจากนี้ เสียงเน้นหนัก (stress) ยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. เสียงเน้นหนักในคำ (Word Stress)
2. เสียงเน้นหนักในประโยค (Sentence Stress)

นอกจากนี้ เสียงเน้นหนัก (stress) ยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
 1. เสียงเน้นหนักในคำ (Word Stress)
 2. เสียงเน้นหนักในประโยค (Sentence Stress) 

1. เสียงเน้นหนักในคำ  (Word Stress)
       เสียงเน้นหนักในคำ คือ การเน้นเสียงหนักในพยางค์หนึ่งของคำโดยที่ผู้พูดจะออกเสียงพยางค์นั้นดังกว่าพยางค์อื่น ๆในคำเดียวกัน เช่น páper, contínueเป็นต้น คำในภาษาอังกฤษทุกคำจะมีพยางค์หนึ่งเท่านั้นที่ได้รับเสียงหนักเสมอผู้เรียนจึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ถึงการออกเสียงเน้นหนักในแต่ละคำให้ถูกต้องเสียก่อน
        หลักเกณฑ์สำหรับการลงเสียงเน้นหนักในคำ (Word Stress) และในพยางค์(Syllabic Stress) ที่พอจะสรุปได้มีดังนี้
         1. การลงเสียงเน้นหนักในคำที่มี 2 พยางค์ขึ้นไป
                 ในคำสองพยางค์ขึ้นไปเสียงเน้นหนักสุดจะได้แก่ primary stressเสียงที่รองลงมาจะเป็น secondary stress ดังตัวอย่างต่อไปนี้
                 



 คำที่มีเสียงเน้นหนักสุดหรือ primary stress บนพยางค์ต้นของคำ ได้แก่
คำสองพยางค์                คำสามพยางค์                       คำสี่พยางค์
húsband                           póssible                              críticism
télephone                         spécialist                             ańswer
prógram                           ánimal                                 écretary
órange                              ínnocent
súbject                              béautiful

คำที่มีเสียงเน้นหนักสุดหรือ primary stress บนพยางค์ที่สองของคำ ได้แก่
คำสองพยางค์                   คำสามพยางค์                       คำสี่พยางค์
cashíer                              proféssor                               affírmative
helló                                  relátion                                  philósopher
prefér                                impórtant                              devélopment
corréct                               eléven                                   signíficant
resígn                                 phonetic 

3.ระดับเสียงสูงต่ำในประโยคอย่างถูกต้อง
เสียงสูงต่ำ ท้ายประโยค
เสียงสูงต่ำท้ายประโยคขึ้นอยู่กับความหมายของประโยค โดยประโยคธรรมดา ลงเสียงต่ำ
I like coffee ลงเสียงต่ำที่คำว่า coffee อ่าน คอป-ฟี
ประโยคคำถาม ที่ถามว่า ใช่หรือไม่ ขึ้นเสียงสูง (รวมถึงประโยคที่เป็น tag question)
Do you like coffee? ขึ้นเสียงสูงตรงคำว่า cofee อ่าน คอป-ฟี้
ประโยคคำถาม ที่ถามหาคำตอบ ลงเสียงต่ำ
What do you like ? ลงเสียงต่ำตรงคำว่า like อ่าน ไหลค์
สำหรับประโยคเดียวกัน ที่ออกเสียงต่างกัน จะทำให้ความหมายต่างกัน เช่น
Do you like tea or coffee?
ถ้าพูด คำว่า coffee ลงเสียงต่ำ ประโยคนี้จะมีความหมายว่า "อยากได้ ชาหรือกาแฟ (โดยให้เลือกเอา)"
ถ้าพูด คำว่า coffee ขึ้นเสียงสูง ประโยคนี้จะมีความหมายว่า "อยากได้ ชาหรือกาแฟไหม (โดยถามว่า เอาหรือไม่เอา)"

เสียงท้าย -s, -es, -ed
-s ก็ตามด้วย เสียง s ปกติ คือ ลากเสียง s ออกไปตอนจบประโยค
-es เจ้าของภาษาจะออกเสียง /อิส/ แต่ตามความคุ้นเคยของคนไทยมักออกเสียงชัดเจนว่า /เอส/ อย่างเช่น
boxes -- บ้อกซิส (เจ้าของภาษา) บ๊อกเซส (สำเนียงสะดวกลิ้นไทย)
glasses -- แกล็สซิส (เจ้าของภาษา) กลาสเสส (สำเนียงสะดวกลิ้นไทย)
-ed อันนี้มีสองแบบ ถ้าตามด้วย ตัว T หรือ D จะเสียง /เอ๊ด/ หรือ /อึ๊ด/ แต่ถ้าไม่ใช่ให้ ออกเสียง /เดอะ/
reloaded -- รีโหลดดิด (เจ้าของภาษา) ลีโล้ดเด๊ด (สำเนียงสะดวกลิ้นไทย)
wanted -- ว้อนถิด (เจ้าของภาษา) ว้อนเต๊ด (สำเนียงสะดวกลิ้นไทย)
notified -- ก็ไม่มีเสียง ed แต่จะมีเสียง d ในลำคอ
เสียงพยัญชนะท้าย
หลายๆคำที่มีพยัญชนะท้ายจะมีเสียงเบาๆที่ไม่ควรละ
เสียง -nd เช่น finding ออกเสียง ฟาย(อืน)ดิ่ง หรือ บางครั้งอาจได้ยิน ฟายนิ่ง
เสียง -ne เช่น line ออกเสียง ละอิน (รวบเป็นหนึ่งพยางค์) ต่างจาก lie ออกเสียง ลาย
เสียง -le เช่น mobile ออกเสียง โม-บะอิล (สองพยางค์) หรือ บางครั้งอาจได้ยิน โม-บึล
เสียง -le เช่น file ออกเสียง ฟะอิล (รวบเป็นหนึ่งพยางค์) หรือ บางครั้งอาจได้ยิน ฟาว ต่างจาก fine ออกเสียง ฟาย(อืน) หรือ fire ออกเสียง ฟายเออ
คำผสม (compound noun)
 คำผสม จากคำนามสองคำ การออกเสียง ให้ขึ้นเสียงสูงตรงกลาง แล้วลงต่ำตอนท้าย. เช่น:
คำว่า greenhouse / green house
คำผสม greenhouse (บ้านที่เป็นเรือนกระจก) ขึ้นเสียงตรง green และลงต่ำตรง house เสียง
คำปกติเรียงกัน green house (บ้านสีเขียว) ออกเสียงตามปกติ. ไม่ต้องขึ้นลงเสียง.
คำว่า English teacher
คำผสม หมายถึง ครูสอนภาษาอังกฤษ ขึ้นเสียงตรง English ลงตรง teacher
คำปกติเรียงกัน หมายถึง ครูชาวอังกฤษ ออกเสียงตามปกติ



                       อ้างอิง  https://www.youtube.com/watch?v=4DfMh6zNgcs

อ้างอิง https://youtu.be/wPmECG4Q0fw

อ้างอิงข้อมูลจาก 

http://wantongnoon.blogspot.com/


https://goo.gl/SVVNRy