วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560

เนื้อหาที่1 การออกเสียงในภาษาอังกฤษ


1.การออกเสียงในภาษาอังกฤษ
เสียงพยัญชนะในภาษาอังกฤษ
เสียงพยัญชนะที่ยากต่อการออกเสียงของคนไทยคือ CH, G, L, R, S, SH, TH, V, W, X, และ Z
เสียงพยัญชนะส่วนใหญ่จะเป็นไปตามที่มีการเรียนการสอน โดยเสียงบางคำจะมีการดัดแปลงให้ง่ายต่อการออกเสียง หรืออาจจะมีการอ่านตาม ภาษาอังกฤษสำเนียงอังกฤษ เสียงพยัญชนะทั้งหมดเรียงตามลำดับตัวอักษรภาษาอังกฤษดังนี้
  • B -- บ ใบไม้ เช่น boy บอย
  • C -- เป็นได้ทั้ง ซ โซ่ และ ค ควาย และ ก ไก่ โดยส่วนมากจะใช้
    • --CA, CO, CU -- ค ควาย เช่น car คาร์, come คัม, cute คิ้วท์
    • --CE, CI, CY -- ซ โซ่ เช่น cell เซลล์, city ซิตี้, cylinder ไซลินเดอร์
    • --SC -- ก ไก่ เช่น scar สการ์, screen สกรีน, scuba สกูบา
    • อย่างไรก็ตาม มีหลายคำที่ไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนด
  • D -- ด เด็ก เช่น dog
  • F -- ฟ ฟัน เช่น fun
  • G -- จะไม่มีเสียงในภาษาไทย แต่จะเป็นเสียงควบของ ก ไก่ กับ ง งู หรือ เสียงควบของ จ จาน กับ ย ยักษ์
    • -- GA, GE, GO, GU - ออกเสียง ก-ง เช่น gas แก๊ส, get เก็ท, golf กอล์ฟ, gun กัน
    • -- GI - ออกเสียง จ-ย เช่น gigabyte จิกะไบต์ กับ gigantic ไจแกนติค
  • H -- อ่านว่า เอช (ในอังกฤษอเมริกัน) ออกเสียง เหมือน ห หีบ และ ฮ นกฮูก เช่น hello เฮลโล
  • J -- จ จาน เช่น jet เจ็ท
  • K -- เป็นได้ทั้ง ค ควาย และ ก ไก่ และเสียงเงียบ
    • เสียงต้น -- ค ควาย เช่น kilogram คิโลแกรม
    • SK -- ก ไก่ เช่น sky สกาย ski สกี
    • KN -- เสียงเงียบ (ไม่ออกเสียง) เช่น knee, นี knock, น็อค know โนว์
  • L -- คล้ายกับ ล ลิง สำหรับเสียงต้น และคล้ายกับเสียง น-ว แหวน สำหรับเสียงสะกด
    • เสียงต้น เช่น lance แลนซ์, look ลุก
    • เสียงสะกด เช่น mill มิลล์ (เรียกว่า dark L), oil โออิล
      • โดยเสียงของ ตัวอักษร L (เช่น oil, ni, fooll) ออกเสียงโดยการ ลากปลายลิ้นไปแตะที่ปลายฟันเหมือนออกเสียง th
      • การออกเสียงของ LL (เช่น will, full) ออกเสียงโดยการลากปลายลิ้นไปแตะที่ปลายฟันเหมือนออกเสียง th และลากโคนลิ้นไปแตะเพดานอ่อนพร้อมๆ กัน (เสียงจะคล้ายๆ ง-ว)
  • M -- ม ม้า เช่น money มั้นนี่
  • N -- น หนู เช่น no โน
  • P -- พ พาน หรือ ป ปลา
    • เสียงต้น -- พ พาน เช่น pest, เพสท์ Peter พีเทอร์
    • SP -- ป ปลา เช่น span สแปน, spark สปาร์ค, sport สปอร์ต
  • Q -- ค ควาย หรือ ก ไก่
    • QU -- ค ควาย ควบ ว แหวน เช่น queen ควีน
    • SQU -- ก ไก่ ควบ ว แหวน เช่น squid สกวิด, square สแกวร์
  • R -- คล้ายกับ ร เรือ สำหรับเสียงต้น และคล้ายกับคำว่า เออร์ สำหรับเสียงท้าย
    • เสียงต้น เช่น row โรว์
    • เสียงกลางประโยค เช่น born บอร์น
    • เสียงท้าย เช่น fire ไฟเออร์ 
      • โดยเสียงของ ตัวอักษร R ออกเสียงโดยการ ลากลิ้นไปแตะที่เพดานปากด้านบนส่วนหลัง เหมือนคำว่า fire อ่านว่า ไฟ แล้วลากลิ้นไปแตะที่เพดานปาก เสียง เออร์ จะออกมาคล้ายกับเสียง ไฟเออร์
  • S -- เสียงต้น ออกเสียง ส.เสือ ถ้าเป็นเสียงลงท้าย ออกเหมือนเสียง ซือออออ ให้เสียงเหมือนลมผ่านช่องกระจก โดยพูดให้เพียงแค่ลมออกจากปาก และลำคอไม่สั่น เป็นเสียงแบบ voiceless)
    • เสียงต้น S -- sock ซ๊อกค์
    • เสียงท้าย S -- case เคส
  • T -- ท ทหาร หรือ ต เต่า
    • เสียงต้น -- ท ทหาร เช่น tank แทงก์
    • ST -- ต เต่า เช่น street สตรีท, star สตาร์
  • V -- เสียงเหมือน ว แหวน โดยเป็นเสียงที่ใกล้เคียง กับ V F และ B พูดโดยการกัดริมฝีปาก ก่อนออกเสียง ว แหวน เช่น vail เวลล์
  • W (ดับเบิ้ล ยู แต่พูดเร็วเร็ว ก็กลายเป็น ดับ-บ-ลิว) -- เสียงเหมือน ว แหวน แต่มีเสียงก้องในปาก พูดโดยการ ทำปากจู๋ก่อนแล้วตามด้วยออกเสียง ว.แหวน เช่น wow วาว
  • X -- เสียงต้น เป็นเสียง ส เสือ และ ซ โซ่ เสียงท้าย เหมือน ค ควาย รวมกับ เสียง เอส
    • เสียงต้น -- xylem ไซเร็ม
    • เสียงท้าย -- box บ็อกซือ
  • Y -- ย ยักษ์ เช่น young ยัง, you ยู
  • Z -- (อ่านว่า ซี ในอังกฤษอเมริกัน หรือที่อ่านกันว่า เซท ในอังกฤษสำเนียงอื่น - แต่คนไทยออกเสียงว่า แซด) เสียงเหมือน ส เสือ และ ซ โซ่ เช่น zebra ซี-บร่า
    • เสียงอักษร Z ต่างกับ ตัวอักษร C โดยเวลาพูดจะมีการสั่นของเสียง (voice sound) โดยเมื่อเอามือจับที่ใต้ฟันล่าง แล้วพูดเสียงจะมีการสั่นของลำคอ เหมือนกับการออกเสียง บ ใบไม้ กับ พ พาน หรือ เสียง ด เด็ก กับ ท ทหาร (z, บ ใบไม้, พ พาน เป็น เสียงสั่น)
  • ตัวอักษรCH ออกเสียงได้ 3 แบบ ได้แก่ /CH/ /SH/ สำหรับคำที่มาจากภาษาฝรั่งเศส เช่น champaign, Chicago /K/ สำหรับคำที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์ การศึกษา ดนตรี ประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นคำที่มาจากภาษากรีก เช่น chaos, stomach, architecture
  • CH -- เสียง ช ช้าง เหมือนเสียง ท ทหาร ตามด้วยเสียง ช ช้าง พูดโดยการ เอาลิ้นแตะโคนฟัน แล้วพูด เฉอะ
  • SH -- เสียง ช ช้างปกติ
    • คำที่เสียงแตกต่างกัน ในขณะที่เสียงไทยใกล้เคียงกัน เช่น ship chip, sheep cheap, shop chop ทดสอบที่โปรแกรมทดสอบแม่แบบ:Fn
  • CH -- เสียง ค ควาย ก็ได้ ถ้าคำที่ใช้ มาจาก กรีก เป็นในทางความหมาย ทาง ประวัติศาสตร์ ดนตรี การแพทย์ การศึกษา ประมาณนี้ เช่น
    • chaos เคออส ความวุ่นวาย stomachache สโตมัคเอค chorus คอรัส
  • TH -- เสียงนี้ ไม่มีของไทย แต่ใกล้เคียงกับ /ด/ /ต/ /ส/ (เชื่อมั้ยละ ว่ามันใกล้กับ ส) เวลาออกเสียง เริ่มแรก กัดลิ้นเบาเบา แล้วพูด เช่น * THAT หรือว่า BATH พูดแล้วตอนจบกัดลิ้น THANK YOU กัดลิ้นแล้วพูดดู ไม่ใช่ แต้งกิ้ว แต่มันจะเป็นเสียง ผสม /ต//ซ/

เสียงสระในภาษาอังกฤษ
สระในภาษาอังกฤษ ประกอบไปด้วย ตัวอักษร A E I O U แต่ในการใช้สระ จะมีการใช้ผสมกันดังต่อไปนี้
  • ee -- เสียงอี เช่น ฟีด feed
  • i -- เสียงอิ เช่น ฟิน fin
  • i -- เสียงไอ เช่น ไบ bi (ถ้าไม่มีตัวอะไรต่อท้าย ส่วนมากจะเป็น) ไอ แต่บางทีก็ไม่ใช่
  • a_e -- เสียง เอ เช่น เฟด fade
  • e -- เสียง เอะ เช่น เฟ็ด fed
  • a -- เสียง a มันจะเป็นเสียงกึ่งระหว่าง แอะ กับ อะ วิธีออกเสียง ให้อ้าปากกว้างสุด แล้วพูด เป็นเสียงระหว่างเสียง แฟด กับ ฟัด fad
  • u -- เสียง เออะ เช่น เคอะ-พ cup
  • o -- คล้ายเสียง เออะ แต่อ้าปากกว้าง cop
  • oo -- boot เสียงสระอู
  • ull -- bull เสียงที่อยู่ระหว่าง สระ อุ กับสระอู
  • o_e -- bone เสียง โอ
  • i_e -- fine เสียง ไอ
  • oi -- coin เสียง ออย
  • ou -- round เสียง อาว
นอกจากนี้ สระที่อ่านออกเสียงแปลกจากสระทั่วไป เนื่องจากมาจาก ภาษาอังกฤษเดิม หรือ ภาษาอื่น เช่นฝรั่งเศส หรือเยอรมัน เช่น
  • come -- อ่านเหมือน cum เป็นภาษาอังกฤษเดิม ที่ มาจากคำว่า cume
  • dove -- อ่านว่า /ดัฟ/ มาจาก duv สำหรับ คำที่เป็นอดีตของ dive (dove) อ่านว่า โดฟ
  • entree -- /อองเทร/ อาหารมื้อหลัก มาจากภาษาฝรั่งเศส
  • hors d'œuvre -- ออร์เดิร์ฟ
คำที่มาจากภาษาอื่น ในปัจจุบันคนอเมริกันทั่วไปยังมีการใช้ผิดกันเกิดขึ้น

2.การลงเสียงเน้นหนักในคำ
การเน้นเสียงในภาษาอังกฤษ Stress
ลักษณะสำคัญของภาษาอังกฤษคือ มีการออกเสียงเน้นหนักเบา ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญอันหนึ่งสำหรับผู้พูดภาษาอังกฤษที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา เพราะถ้าออกเสียงเน้นหนักผิดพยางค์ก็อาจจะทำให้การสื่อสารเกิดความเข้าใจผิดได้ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องออกเสียงเน้นหนักเบาให้ถูกต้อง เรามาเริ่มกันเลย

1. ระดับเสียงเน้นหนักที่สุด (Primary Stress) ใช้เครื่องหมาย ( , ) หน้าพยางค์ที่ลงเสียงหนักที่สุดในคำนั้น มีที่สังเกตคือ เสียงดังที่สุดและเสียง pitch สูงจะเกิดในคำเดี่ยวทุกครั้ง เช่น calendar
2. ระดับเสียงรอง (Secondary Stress) ใช้เครื่องหมาย ( ^ ) เหนือพยางค์ที่ลงเสียงรอง เช่น êducátion พยางค์แรกจะได้ secondary stress แต่พยางค์ที่สามจะได้primary stress
3. ระดับเสียงเบาปานกลาง (Teritiary Stress) ใช้เครื่องหมาย ( ` ) เหนือพยางค์ระดับเสียงนี้จะเกิดรวมกับ primary stress ในคำเดี่ยว ๆ ที่มีหลายพยางค์ เช่นfÓotbàll
4. ระดับเสียงเบาที่สุด (Weak Stress) ใช้เครื่องหมาย ( ˇ ) เหนือพยางค์ หรือไมjใส่เครื่องหมายใด ๆ เลย โดยถือว่าพยางค์ที่ไม่มีเครื่องหมายกำกับคือ การไม่ลงเสียงหนัก (unstress) เช่น ŕhythm (พยางค์ที่สองเป็นเสียงเบา)
 นอกจากนี้ เสียงเน้นหนัก (stress) ยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. เสียงเน้นหนักในคำ (Word Stress)
2. เสียงเน้นหนักในประโยค (Sentence Stress)

นอกจากนี้ เสียงเน้นหนัก (stress) ยังแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
 1. เสียงเน้นหนักในคำ (Word Stress)
 2. เสียงเน้นหนักในประโยค (Sentence Stress) 

1. เสียงเน้นหนักในคำ  (Word Stress)
       เสียงเน้นหนักในคำ คือ การเน้นเสียงหนักในพยางค์หนึ่งของคำโดยที่ผู้พูดจะออกเสียงพยางค์นั้นดังกว่าพยางค์อื่น ๆในคำเดียวกัน เช่น páper, contínueเป็นต้น คำในภาษาอังกฤษทุกคำจะมีพยางค์หนึ่งเท่านั้นที่ได้รับเสียงหนักเสมอผู้เรียนจึงจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ถึงการออกเสียงเน้นหนักในแต่ละคำให้ถูกต้องเสียก่อน
        หลักเกณฑ์สำหรับการลงเสียงเน้นหนักในคำ (Word Stress) และในพยางค์(Syllabic Stress) ที่พอจะสรุปได้มีดังนี้
         1. การลงเสียงเน้นหนักในคำที่มี 2 พยางค์ขึ้นไป
                 ในคำสองพยางค์ขึ้นไปเสียงเน้นหนักสุดจะได้แก่ primary stressเสียงที่รองลงมาจะเป็น secondary stress ดังตัวอย่างต่อไปนี้
                 



 คำที่มีเสียงเน้นหนักสุดหรือ primary stress บนพยางค์ต้นของคำ ได้แก่
คำสองพยางค์                คำสามพยางค์                       คำสี่พยางค์
húsband                           póssible                              críticism
télephone                         spécialist                             ańswer
prógram                           ánimal                                 écretary
órange                              ínnocent
súbject                              béautiful

คำที่มีเสียงเน้นหนักสุดหรือ primary stress บนพยางค์ที่สองของคำ ได้แก่
คำสองพยางค์                   คำสามพยางค์                       คำสี่พยางค์
cashíer                              proféssor                               affírmative
helló                                  relátion                                  philósopher
prefér                                impórtant                              devélopment
corréct                               eléven                                   signíficant
resígn                                 phonetic 

3.ระดับเสียงสูงต่ำในประโยคอย่างถูกต้อง
เสียงสูงต่ำ ท้ายประโยค
เสียงสูงต่ำท้ายประโยคขึ้นอยู่กับความหมายของประโยค โดยประโยคธรรมดา ลงเสียงต่ำ
I like coffee ลงเสียงต่ำที่คำว่า coffee อ่าน คอป-ฟี
ประโยคคำถาม ที่ถามว่า ใช่หรือไม่ ขึ้นเสียงสูง (รวมถึงประโยคที่เป็น tag question)
Do you like coffee? ขึ้นเสียงสูงตรงคำว่า cofee อ่าน คอป-ฟี้
ประโยคคำถาม ที่ถามหาคำตอบ ลงเสียงต่ำ
What do you like ? ลงเสียงต่ำตรงคำว่า like อ่าน ไหลค์
สำหรับประโยคเดียวกัน ที่ออกเสียงต่างกัน จะทำให้ความหมายต่างกัน เช่น
Do you like tea or coffee?
ถ้าพูด คำว่า coffee ลงเสียงต่ำ ประโยคนี้จะมีความหมายว่า "อยากได้ ชาหรือกาแฟ (โดยให้เลือกเอา)"
ถ้าพูด คำว่า coffee ขึ้นเสียงสูง ประโยคนี้จะมีความหมายว่า "อยากได้ ชาหรือกาแฟไหม (โดยถามว่า เอาหรือไม่เอา)"

เสียงท้าย -s, -es, -ed
-s ก็ตามด้วย เสียง s ปกติ คือ ลากเสียง s ออกไปตอนจบประโยค
-es เจ้าของภาษาจะออกเสียง /อิส/ แต่ตามความคุ้นเคยของคนไทยมักออกเสียงชัดเจนว่า /เอส/ อย่างเช่น
boxes -- บ้อกซิส (เจ้าของภาษา) บ๊อกเซส (สำเนียงสะดวกลิ้นไทย)
glasses -- แกล็สซิส (เจ้าของภาษา) กลาสเสส (สำเนียงสะดวกลิ้นไทย)
-ed อันนี้มีสองแบบ ถ้าตามด้วย ตัว T หรือ D จะเสียง /เอ๊ด/ หรือ /อึ๊ด/ แต่ถ้าไม่ใช่ให้ ออกเสียง /เดอะ/
reloaded -- รีโหลดดิด (เจ้าของภาษา) ลีโล้ดเด๊ด (สำเนียงสะดวกลิ้นไทย)
wanted -- ว้อนถิด (เจ้าของภาษา) ว้อนเต๊ด (สำเนียงสะดวกลิ้นไทย)
notified -- ก็ไม่มีเสียง ed แต่จะมีเสียง d ในลำคอ
เสียงพยัญชนะท้าย
หลายๆคำที่มีพยัญชนะท้ายจะมีเสียงเบาๆที่ไม่ควรละ
เสียง -nd เช่น finding ออกเสียง ฟาย(อืน)ดิ่ง หรือ บางครั้งอาจได้ยิน ฟายนิ่ง
เสียง -ne เช่น line ออกเสียง ละอิน (รวบเป็นหนึ่งพยางค์) ต่างจาก lie ออกเสียง ลาย
เสียง -le เช่น mobile ออกเสียง โม-บะอิล (สองพยางค์) หรือ บางครั้งอาจได้ยิน โม-บึล
เสียง -le เช่น file ออกเสียง ฟะอิล (รวบเป็นหนึ่งพยางค์) หรือ บางครั้งอาจได้ยิน ฟาว ต่างจาก fine ออกเสียง ฟาย(อืน) หรือ fire ออกเสียง ฟายเออ
คำผสม (compound noun)
 คำผสม จากคำนามสองคำ การออกเสียง ให้ขึ้นเสียงสูงตรงกลาง แล้วลงต่ำตอนท้าย. เช่น:
คำว่า greenhouse / green house
คำผสม greenhouse (บ้านที่เป็นเรือนกระจก) ขึ้นเสียงตรง green และลงต่ำตรง house เสียง
คำปกติเรียงกัน green house (บ้านสีเขียว) ออกเสียงตามปกติ. ไม่ต้องขึ้นลงเสียง.
คำว่า English teacher
คำผสม หมายถึง ครูสอนภาษาอังกฤษ ขึ้นเสียงตรง English ลงตรง teacher
คำปกติเรียงกัน หมายถึง ครูชาวอังกฤษ ออกเสียงตามปกติ



                       อ้างอิง  https://www.youtube.com/watch?v=4DfMh6zNgcs

อ้างอิง https://youtu.be/wPmECG4Q0fw

อ้างอิงข้อมูลจาก 

http://wantongnoon.blogspot.com/


https://goo.gl/SVVNRy 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น