วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560

เนื้อหาที่4 เทคนิคในการจัดกิจกรรมโดยใช้ภาษาอังกฤษให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย

เทคนิคในการจัดกิจกรรมโดยใช้ภาษาอังกฤษให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย

        ภาษามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ภาษาเป็นเครื่องมือสำหรับการคิด ซึ่งจะนำไปสู่พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาในขั้นสูง ภาษาเป็นเครื่องมือสำหรับการสื่อสาร ทั้งในการแสดงออกถึงความต้องการ ความรู้สึกนึกคิด และข่าวสาร อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้ โดยเป็นสื่อกลางที่ช่วยให้มนุษย์สามารถถ่ายทอดความคิดที่เป็นนามธรรมได้ การจัดประสบการณ์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยจึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
        การวางแผนการจัดประสบการณ์ทางภาษาควรเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจว่าการจัดประสบการณ์ มีความหมายที่กว้างกว่าการสอน หรือการถ่ายทอดความรู้ แต่เป็นการจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เด็กได้รับการพัฒนาทางภาษา และควรทำความเข้าใจด้วยว่าการเรียนรู้ภาษาเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับการรู้หนังสือ (Literacy) ซึ่งหมายถึงปฏิสัมพันธ์ทางสติปัญญาที่มีความซับซ้อนที่เกิดขึ้นระหว่างผู้อ่านกับข้อความ และระหว่างความรู้เดิมกับข้อมูลใหม่ และการรู้หนังสือของเด็กปฐมวัยเป็นการรู้หนังสือที่อยู่ในระยะแรกเริ่ม (Emergent literacy) เป็นการเรียนรู้ของเด็กก่อนที่จะพัฒนาไปสู่การมีทักษะการรู้หนังสืออย่างเป็นทางการ (Sowers, 2000: 140-141; Tompkins, 1997: 365) การจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยจึงต้องวางแผนให้ครอบคลุมทั้งเรื่องภาษาและการรู้หนังสือในระยะแรกเริ่ม โดยแผนดังกล่าวจะต้องเหมาะสมกับพัฒนาการทางภาษาและการรู้หนังสือของเด็ก และมีลักษณะบูรณาการ ให้เด็กได้ใช้ภาษาอย่างมีความหมายเป็นรายบุคคล
การกำหนดสาระการเรียนรู้ที่ใช้สำหรับจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
       1. ประสบการณ์สำคัญด้านการใช้ภาษา เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา ซึ่งสามารถแบ่งตามลักษณะการใช้ภาษา ดังนี้

    1.1 การฟัง เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับทักษะหลายทักษะและมีลักษณะของการฟังที่หลากหลาย มาชาโด (Machado, 1999: 187) กล่าวว่า การฟังที่เด็กควรมีประสบการณ์มี 5 ประเภท ประกอบด้วย

        (1) การฟังเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน (Appreciative Listening) ซึ่งเด็กควรมีโอกาสฟังตามวิธีนี้ทั้งจากการฟังเพลง กลอน หรือเรื่องราวต่างๆ
        (2) การฟังอย่างมีวัตถุประสงค์ (Purposeful Listening) เด็กควรมีโอกาสได้ฟัง และปฏิบัติตามคำแนะนำ หรือตอบสนองต่อสิ่งที่ได้ฟัง
        (3) การฟังเพื่อจำแนกความแตกต่าง (Discriminative Listening) เด็กควรมีโอกาสฟัง และแยกแยะเสียงต่างๆ ในสิ่งแวดล้อม ตลอดจนจำแนกความต่างของการเปลี่ยนแปลงของเสียง
        (4) การฟังอย่างสร้างสรรค์ (Creative Listening) เด็กควรได้รับการกระตุ้นให้เกิดจินตนาการและมีอารมณ์ร่วมกับประสบการณ์ที่ได้ฟัง ซึ่งจะทำให้เด็กมีการแสดงออกด้วยคำพูด หรือการกระทำอย่างอิสระตามธรรมชาติ
        (5) การฟังแบบวิเคราะห์ (Critical Listening) เด็กควรได้ทำความเข้าใจ ประเมิน ตัดสินใจ และแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่ฟัง โดยมีครูเป็นผู้ตั้งคำถามให้เด็กคิดและตอบสนอง

        หากพิจารณาประเภทของการฟังดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่ามีความจำเป็นที่จะต้องให้เด็กได้มีประสบการณ์สำคัญด้านการฟังอย่างครอบคลุมทุกวิธี เพื่อให้เด็กเกิดความตระหนักต่อเสียงต่างๆ และนำไปสู่การเข้าใจความหมายของสิ่งที่ได้ยินในที่สุด

    1.2 การพูด เป็นวิธีการพื้นฐานที่เด็กช่วยให้เด็กได้แสดงออกซึ่งความเป็นตัวของตัวเอง อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ช่วยให้เด็กได้พัฒนาการคิดดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นด้วย เด็กควรมีประสบการณ์สำคัญด้านการพูด (กรมวิชาการ, 2546: 37; Machado, 1999: 327) ดังนี้

        (1) การแสดงความคิด ความรู้สึก และความต้องการด้วยคำพูด
        (2) การพูดกับผู้อื่นเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเอง หรือเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง
        (3) การอธิบายเกี่ยวกับสิ่งของ เหตุการณ์ และความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ
        (4) การพูดอย่างสร้างสรรค์ในการเล่น หรือการแก้ปัญหา
        (5) การเชื่อมโยงการพูดกับท่าทาง หรือการกระทำต่างๆ
        (6) การมีประสบการณ์ในการรอคอยจังหวะที่เหมาะสมในการพูด

    1.3 การอ่าน เด็กปฐมวัยควรมีประสบการณ์สำคัญในการอ่านหลายรูปแบบ ผ่านประสบการณ์ที่สื่อความหมายต่อเด็ก ทั้งการอ่านภาพจากหนังสือนิทาน อ่านเครื่องหมาย อ่านสัญลักษณ์ หรืออ่านเรื่องราวที่เด็กสนใจ

    1.4 การเขียน เด็กปฐมวัยควรมีประสบการณ์สำคัญในการเขียนหลายรูปแบบผ่านประสบการณ์ที่สื่อความหมายต่อเด็ก ทั้งเขียนภาพ เขียนขีดเขี่ย เขียนคล้ายตัวอักษร เขียนเหมือนสัญลักษณ์ หรือเขียนชื่อตนเองหรือคำที่คุ้นเคย
การจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
        การจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยควรจัดให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่เหมาะสมในการพัฒนาเด็กปฐมวัย (DAP) ไม่ควรเป็นการสอนทักษะทางภาษาอย่างเป็นทางการ แต่ควรเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความท้าทายให้เด็กเกิดความต้องการที่จะร่วมกิจกรรม และสามารถประสบความสำเร็จในการทำกิจกรรมด้วยตนเอง หรือมีผู้ใหญ่คอยชี้แนะ เป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับระดับพัฒนาการทางภาษาของเด็ก และช่วยให้เด็กก้าวไปสู่พัฒนาการทางภาษาในขั้นต่อไป ครูควรจัดกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อตอบสนองต่อความแตกต่างกันของเด็ก ตัวอย่างการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย มีดังต่อไปนี้

1. การสนทนาข่าวและเหตุการณ์ (Morning Message) 
        เป็นกิจกรรมที่เด็กและครูได้สนทนาร่วมกันในช่วงเริ่มต้นกิจกรรมของแต่ละวัน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน และได้เปลี่ยนกันเป็นผู้พูดและผู้ฟัง ครูควรส่งเสริมให้เด็กมีมารยาทที่ดีในการพูดและการฟัง หากเด็กคนใดไม่ต้องการพูดก็ไม่ควรถูกบังคับให้พูด เพื่อให้เด็กที่ไม่มั่นใจในตนเองรู้สึกสบายใจที่จะมีส่วนร่วมในการฟังการสนทนา
หัวข้อที่ใช้สนทนาอาจเกี่ยวกับการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน และเหตุการณ์พิเศษของแต่ละวัน เช่น วันนี้เราจะทำอะไรกันบ้าง จะมีใครมาที่ห้องเราบ้าง ฯลฯ เป็นข่าวสารจากเด็ก ซึ่งเด็กอาจเล่าเรื่องส่วนตัวของตนเอง หรือเล่าเกี่ยวกับสิ่งของที่ตนนำมา (Show & Tell) เด็กที่ได้เล่าเรื่องจะรู้สึกเสมือนว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่ตนกำลังพูดอยู่ นับว่าเป็นการช่วยขยายประสบการณ์ให้แก่เด็กคนอื่นๆ ด้วย และเมื่อเด็กๆรู้ว่าแต่ละวันเขาสามารถเล่าเรื่องเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนได้ เด็กจะเรียนรู้เกี่ยวกับการเตรียมเรื่องที่จะพูดไว้ล่วงหน้า หรือเป็นหัวข้อที่เด็กสนใจ ซึ่งเด็กๆจะพยายามหาข้อมูลมาให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เด็กๆ อาจหาข้อมูลด้วยการพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่ สังเกตหรือทดลองด้วยตนเอง ฯลฯ
        การสนทนาเป็นวิธีการสำคัญและเป็นวิธีการหลักที่ครูจำเป็นต้องใช้ในการส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาของเด็กปฐมวัย เพราะในขณะที่เด็กสนทนากับครู เด็กจะได้ยินแบบอย่างของการใช้ภาษาที่ถูกต้องเหมาะสม เมื่อเด็กสนทนากันเอง เด็กจะมีโอกาสฟังความคิดเห็นของผู้อื่น แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ได้ยินคำศัพท์ใหม่ๆ ได้ทำความเข้าใจการพูดของเพื่อนจากสิ่งชี้แนะ (McGee and Richgels, 2000: 160) การที่เด็กได้เล่าเรื่องให้เพื่อนฟังทำให้เด็กรับรู้และเข้าใจเรื่องได้ดีขึ้น มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมากขึ้น เด็กได้ใช้ภาษาบ่อยขึ้น เด็กจะรู้จักใช้คำถามถามเพื่อน รู้จักการหาข้อมูลไว้ตอบคำถาม เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และยังช่วยพัฒนาการยอมรับในสิ่งที่ผู้อื่นพูดอีกด้วย ระหว่างการสนทนา ครูควรมีบทบาทเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในการสนทนา ถ้ามีผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่คนอื่นอยู่ด้วยก็ควรให้บุคคลเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของการสนทนา ไม่ควรมีบรรยากาศของการตัดสินว่าสิ่งที่เด็กพูดถูกหรือผิดเพื่อส่งเสริมให้เด็กต้องการมีส่วนร่วมในการสนทนาและติดตามหัวข้อที่สนทนาอย่างสม่ำเสมอ

2. การอ่านออกเสียงให้เด็กฟัง (Reading Aloud) 

        เป็นกิจกรรมที่ครูเลือกวรรณกรรมสำหรับเด็กที่ดีมาอ่านให้เด็กฟัง ครูควรจัดให้มีช่วงเวลาเฉพาะสำหรับการอ่านออกเสียงให้เด็กฟัง (Story Time) กิจกรรมนี้อาจจะจัดเป็นกิจกรรมกลุ่มย่อยหรือจัดสำหรับเด็กกลุ่มใหญ่ก็ได้ โดยครูเลือกหนังสือที่เด็กสนใจมาอ่านให้เด็กฟัง ครูควรอ่านชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง ผู้วาดภาพประกอบ อ่านเนื้อเรื่องพร้อมกับชี้ข้อความขณะที่อ่าน เปิดโอกาสให้เด็กได้ถามคำถาม หรือสนทนาเกี่ยวกับตัวละคร หรือเรื่องราวในหนังสือ ครูอาจเชิญชวนให้เด็กคาดเดาเหตุการณ์ในเรื่องบ้าง และควรเตรียมข้อมูลที่ช่วยให้เด็กเข้าใจคำยากที่ปรากฎในเรื่อง ถามคำถามที่กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ และจัดกิจกรรมต่อเนื่องจากเรื่องที่อ่านให้เด็กเลือกทำตามความสนใจ เช่น เตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่ปรากฎในเรื่องในเด็กได้เล่นสมมุติ เตรียมภาพให้เด็กได้เรียงลำดับเรื่องราว เป็นต้น
        ช่วงเวลาที่ครูอ่านหนังสือให้เด็กฟังนี้ควรเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่น และมีความสุข ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูและเด็ก ครูควรอ่านหนังสือให้เด็กฟังทุกวันเพื่อช่วยให้เกิดทัศนคติที่ดีต่อการอ่าน และช่วยให้เด็กมีความรู้เกี่ยวกับการใช้หนังสือ การใช้สิ่งชี้แนะในการคาดคะเนและตรวจสอบการคาดคะเน

3. การให้เด็กเล่าเรื่องซ้ำ (Story Retelling) 
        เป็นกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความสามารถในการจับใจความ เด็กปฐมวัยเรียนรู้การจับใจความด้วยการฟังนิทาน เพราะนิทานมีโครงสร้าง ลีลาในการเขียน และเรื่องราวที่เด็กคุ้นเคย เอื้อให้เด็กสามารถใช้ความรู้เดิมในการจับใจความจากเรื่องที่ฟังและดูภาพประกอบ เมื่อครูเล่านิทานให้เด็กฟังแล้ว ครูต้องถามคำถามเพื่อกระตุ้นให้เด็กคิดจับใจความสำคัญ ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นแบบอย่างของการคาดคะเน แปลความ ตีความ และตรวจสอบความเข้าใจ แล้วเก็บประเด็นสำคัญในการจับใจความ จากนั้นจึงเปิดโอกาสให้เด็กเล่าเรื่องให้ผู้อื่นฟัง โดยการเล่าเรื่องอาจเป็นกิจกรรมระหว่างครูกับเด็ก หรือเป็นกิจกรรมระหว่างเด็กกับเด็กด้วยกัน เพื่อให้เด็กเกิดแรงจูงใจในการเรียนและฝึกปฏิบัติในสิ่งที่เรียนรู้ไปแล้ว
        เทคนิคในการสอนเล่านิทานแบบเล่าเรื่องซ้ำ ได้แก่ ก่อนเล่านิทานครูถามคำถามให้เด็กคาดคะเน และเชื่อมโยงประสบการณ์เดิม ขณะเล่านิทาน ครูถามคำถามให้เด็กตีความ ให้คาดคะเน ให้แปลความ และตรวจสอบความเข้าใจ หลังเล่านิทานจบควรจัดกิจกรรมให้เด็กได้ทบทวนเรื่องราวที่ได้ฟัง เช่น การทำแผนผังนิทาน หนังสือนิทาน บอร์ดนิทาน กล่องนิทาน ฉากนิทาน แผ่นพับนิทาน ภาพแขวนต่อเนื่อง การเชิดหุ่น ภาพตัดต่อนิทาน บทบาทสมมติ และกะบะนิทาน ทั้งนี้ ครูควรเสริมแรงอย่างเหมาะสมขณะเด็กเล่าเรื่องซ้ำให้ผู้อื่นฟังด้วย (อลิสา เพ็ชรรัตน์, 2539)

4. การอ่านร่วมกัน (Shared Reading) 
        เป็นกิจกรรมที่มีเครื่องมือหลัก หรือสื่อพื้นฐานคือหนังสือเล่มใหญ่ ซึ่งขนาดของตัวหนังสือใหญ่พอที่เด็กที่นั่งอยู่ข้างหลังมองเห็นคำหรือตัวหนังสือในแต่ละหน้า หนังสือเล่มใหญ่ที่เลือกมาใช้ควรเป็นวรรณกรรมเด็กที่เป็นที่คุ้นเคย และเป็นประเภททายได้
        ขั้นตอนของการอ่านร่วมกันเริ่มตั้งแต่การอภิปรายถึงเนื้อเรื่องของหนังสือที่จะอ่าน หรือนำสิ่งของที่สัมพันธ์กับเรื่องมานำเสนอ เพื่อช่วยให้เด็กเริ่มสนใจหนังสือที่จะอ่านและช่วยให้เด็กมีความรู้พื้นฐานในเรื่องที่จะอ่านด้วย อ่านหนังสือให้เด็กฟังทั้งเรื่องเพื่อให้เด็กสนใจ ชี้คำขณะที่อ่านเพื่อให้เด็กคุ้นเคยกับตัวหนังสือ คำ หรือข้อความเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการอ่าน ให้เด็กสนุกกับส่วนที่ทายล่วงหน้าได้
        เมื่ออ่านร่วมกับเด็กหลายครั้งแล้วครูควรจัดกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ส่วนย่อยของข้อความที่เป็นประโยค วลี หรือคำ โดยการทำหน้ากากปิดตัวหนังสือเพื่อให้เด็กเห็นคำหรือวลีที่ต้องการเน้นให้ชัดขึ้นและให้เด็กที่เป็นอาสาสมัครอ่าน นอกจากทำหน้ากากแล้วครูอาจใช้กิจกรรมการเติมคำที่เจาะจงที่หายไป (Cloze) กิจกรรมนี้จะชวยให้เด็กเข้าใจได้ว่าข้อความหรือคำไม่ใช่รูปภาพ และเรียนรู้ว่าตัวหนังสือจะมีทิศทาง ซึ่งการเติมคำที่หายไปนี้อาจเป็นประเภททางเสียงและประเภททางตา หรือครูอาจใช้กิจกรรมการเน้นที่คำสำคัญด้วยการทำบัตรคำสำคัญไว้ให้เด็กนำไปเทียบกับคำในหนังสือตามความสนใจ หรืออาจทำบัตรภาพจากในหนังสือให้เด็กจับคู่ภาพกับเนื้อความในหนังสือก็ได้ (จูดิธ พอลลาด สลอทเธอร์, 2543)
        หลังจากที่ได้อ่านร่วมกันแล้ว ครูควรจัดกิจกรรมการสื่อภาษาและกิจกรรมการเล่นเกมภาษา เพื่อให้เด็กได้สื่อความหมายสิ่งที่ได้อ่าน กิจกรรมการสื่อภาษา ได้แก่ การทำหนังสือนิทาน การแสดงละคร การเล่าเรื่องซ้ำ การทำงานศิลปะ การทำภาพผนัง ฯลฯ โดยใช้หนังสือเล่มใหญ่เป็นสื่อ ส่วนกิจกรรมการเล่นเกมภาษา ได้แก่ เกมหาคำที่เหมือนกันในนิทาน เกมหาชื่อตัวละคร เกมพูดตามเครื่องหมายวรรคตอน เกมลำดับภาพและข้อความจากเรื่อง เป็นต้น (สุภัทรา คงเรือง, 2539)

5. การสอนอ่านแบบชี้แนะ (Guided Reading) 

        เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กมีความรู้พื้นฐาน ในด้านการอ่านอย่างเหมาะสมกับระดับความสามารถของเด็ก เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างครูกับเด็กเป็นรายบุคคลหรือทำงานกับเด็กเป็นกลุ่มย่อย 4 - 8 คน (Stewig and Simpson, 1995)
        ครูควรเลือกหนังสือที่มีระดับความยากเหมาะสมกับกลุ่มเด็ก โดยพิจารณาจากความซับซ้อนของเรื่องและภาษาที่ใช้ในนิทาน ลักษณะของประโยคที่เล่าเรื่อง และภาพประกอบ ที่ช่วยให้เด็กคาดเดาเรื่องและคำได้มาใช้ในการอ่านร่วมกับเด็ก กิจกรรมนี้มีเงื่อนไขสำคัญที่กลุ่มเด็กและครูต้องมีหนังสือที่ครูเลือกไว้ทุกคน เมื่อครูประเมินว่าเด็กต้องได้รับการเพิ่มพูนความรู้พื้นฐานเรื่องใด ครูจะตั้งวัตถุประสงค์ในเรื่องนั้น เพื่อนำมาสอดแทรกในการอ่านร่วมกับกลุ่มเด็ก
        ความรู้พื้นฐานในการอ่านของเด็ก เช่น ส่วนประกอบของหนังสือ การใช้หนังสือ การคาดเดาเรื่องราวจากภาพหรือโครงสร้างของประโยค การเชื่อมโยงเรื่องราวกับประสบการณ์เดิมของเด็ก การรู้จักคำใหม่ การเล่นกับเสียงของตัวอักษรหรือพยัญชนะต้นของคำ การคาดเดาคำใหม่จากภาพ และตัวอักษร ฯลฯ (Neuman and Bredekamp, 2000) ทั้งนี้ครูต้องกำหนดช่วงเวลาเฉพาะในการสอนอ่านแบบชี้แนะ ซึ่งในแต่ละสัปดาห์เด็กควรมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง สิ่งสำคัญในการสอนอ่านแบบชี้แนะคือ การที่ครูสอนทักษะย่อย ๆ นี้จะต้องไม่ทำมากเกินไปจนเสียอรรถรสของเรื่องที่อ่านด้วยกัน
6. การอ่านอิสระ (Independent Reading) 
        เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กเลือกอ่านตามความสนใจ สื่อที่ใช้ในการอ่านอาจเป็นหนังสือประเภทต่างๆ คำคล้องจอง เนื้อเพลง หรือสื่อต่างๆ เช่น ป้ายข้อตกลงต่างๆ ในห้องเรียน ป้ายประกาศเตือนความจำ คำแนะนำในการใช้และเก็บของเล่น คำขวัญ คำคล้องจองประจำมุม ป้ายสำรวจชื่อเด็กที่มาโรงเรียน ป้ายแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ ป้ายอวยพรวันเกิด รายการอาหารและของว่างประจำวัน ปฏิทิน รายงานอากาศประจำวัน และป้ายอวยพรวันเกิดเพื่อน เป็นต้น
        ครูควรจัดให้เด็กมีเวลาเลือกอ่านอย่างอิสระตามความสนใจ และอาจจัดทำบันทึกการอ่านของเด็ก โดยการให้เด็กเล่าหรือพูดคุยเรื่องที่อ่านให้ครูหรือเพื่อนฟัง ครูช่วยบันทึกสิ่งที่เด็กอ่าน หรืออาจให้เด็กจดชื่อหนังสือที่ตนอ่านลงในสมุดบันทึก

7. การอ่านตามลำพัง (Sustained Silent Reading - SSR) 

        วิธีการส่งเสริมการอ่านที่ดี คือการให้เด็กมีโอกาสในการอ่านจริงๆ ครูควรจัดให้มีช่วงเวลาเฉพาะที่เด็กทุกคนรวมทั้งครูเลือกหนังสือมาอ่านตามลำพัง ช่วงเวลานี้เด็กจะได้เลือกหนังสือที่ตนชื่นชอบหรือสนใจมาอ่าน แม้ว่าชื่อของกิจกรรมจะเป็นการอ่านเงียบๆ โดยไม่รบกวนผู้อื่น แต่ในทางปฏิบัติเด็กอาจพูดออกเสียงพึมพำระหว่างการอ่านบ้าง ครูไม่ควรบังคับให้ทุกคนเงียบสนิทระหว่างการอ่าน กิจกรรมนี้อาจใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีต่อวัน ควรเป็นเวลาที่เด็กมีอิสระในการเลือกอ่านโดยครูไม่ต้องมอบหมายงานต่อเนื่องจากการอ่านให้เด็กทำ (Stewig and Simpson, 1995: 216)

8. การเขียนร่วมกัน (Shared Writing) 
        เป็นกิจกรรมที่ครูเขียนร่วมกับเด็กโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เด็กใช้กระบวนการเขียนตั้งแต่การการตัดสินใจแสดงความคิดที่ประมวลไว้ออกมาเป็นภาษาเขียนให้ผู้อื่นรับรู้ด้วยการสร้างตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ สื่อความหมายที่ครอบคลุมความหมายที่ต้องการสื่อ โดยจัดเรียงตำแหน่งสิ่งที่เขียนจากซ้ายไปขวา และบนลงล่าง การเขียนร่วมกันทำให้เด็กรู้ว่าความคิดสามารถบันทึกไว้ด้วยข้อความได้ และทำให้เด็กเกิดทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการเขียน
        ในการเขียนร่วมกัน ครูอาจเริ่มต้นด้วยการเชิญชวนให้เด็กสนทนาเกี่ยวกับเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นเนื้อหาที่เด็กริเริ่มและสัมพันธ์กับประสบการณ์จริงของเด็ก ครูแสดงแบบอย่างของการตัดสินใจถ่ายทอดความคิดเป็นข้อความหรือสัญลักษณ์โดยการกระตุ้นให้เด็กช่วยกันบอกสิ่งที่ต้องการสื่อความหมาย แล้วให้เด็กช่วยกันสรุปข้อความที่เด็กช่วยกันบอกให้กระทัดรัด เหมาะที่จะเขียน เพื่อให้เด็กจำข้อความนั้นได้ก่อนลงมือเขียน ให้ครูเป็นคนเขียนข้อความเอง เพื่อป้องกันไม่ให้มีการวิจารณ์เด็กที่เขียนผิดต่อหน้าเพื่อนและครู จนเด็กที่เขียนเสียกำลังใจ และไม่กล้าเขียนอีก ระหว่างที่เขียนควรหมั่นถามให้เด็กติดตามบอกให้ครูเขียน ควรเขียนให้เด็กเห็นลีลามือที่ถูกต้อง เขียนตัวหนังสือขนาดใหญ่พอที่เด็กจะเห็นทิศทางการเขียนที่ถูกต้อง ทั้งนี้ ลายมือที่ครูเขียนมีส่วนสำคัญในการเป็นแบบอย่างให้แก่เด็ก ครูจึงควรระวังเรื่องลายมือและลีลามือที่ถูกต้องสวยงาม เมื่อเขียนเสร็จแล้วจึงอ่านทวนให้เด็กฟัง อาจให้เด็กอ่านทวนอีกครั้ง และให้เด็กวาดภาพประกอบ (ภาวิณี แสนทวีสุข, 2538)
        ตัวอย่างกิจกรรมการเขียนร่วมกัน ได้แก่ กิจกรรมสำรวจเด็กมาโรงเรียน ซึ่งให้เด็กได้ลงชื่อมาโรงเรียนตามความสมัครใจ จากนั้นเมื่อถึงเวลาสำรวจรายชื่อเด็กและครูสามารถนำใบลงชื่อนี้มาใช้เขียนร่วมกันว่ามีเด็กมาโรงเรียนจำนวนเท่าไร หรือใครไม่มาโรงเรียนบ้าง กิจกรรมประกาศข่าว โดยการเปิดโอกาสให้เด็กหรือครูแจ้งข่าวสารที่ต้องการให้ทุกคนรับรู้ เมื่อครูเขียนตามที่เด็กบอกแล้วสามารถนำข้อความดังกล่าวมาติดประกาศ เป็นต้น

9. การเขียนอิสระ (Independent Writing) 

        เป็นกิจกรรมที่ที่เด็กริเริ่มเนื้อหาที่ต้องการสื่อความหมายอย่างอิสระในช่วงเวลาของกิจกรรมสร้างสรรค์และเล่นตามมุม เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กเขียนเพื่อสื่อความหมายตามความสนใจและความสมัครใจ เด็กเป็นผู้เลือกเนื้อหาในการทำกิจกรรม เช่น การเขียนถ่ายทอดความคิดที่ผลงานศิลปะและผลงานการต่อบล็อก การบันทึกชื่อนิทานที่อ่าน การเขียนเพื่อทำอุปกรณ์ประกอบการเล่นสมมุติ เช่น ใบสั่งยา เมนู ฯลฯ การบันทึกการสังเกตในมุมวิทยาศาสตร์
        ครูอาจเตรียมกิจกรรมให้เด็กได้เขียนอย่างมีความหมายโดยสัมพันธ์กับหน่วยการเรียน โดยใช้เนื้อหาจากหน่วยการเรียนมาบูรณาการกับการเขียนอิสระตามมุมประสบการณ์ให้เด็กได้เลือกทำ เช่น การพิมพ์ภาพมือและเท้าที่มุมศิลปะในหน่วยตัวเรา การทำเมนูอาหารที่มุมร้านอาหารในหน่วยอาหารดีมีประโยชน์ เป็นต้น (ภาวิณี แสนทวีสุข, 2538)


หลักการสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กปฐมวัย    
       การสอนภาษาอังกฤษนับเปนสิ่งจําเปนสําหรับการเรียนรูของเด็กในยุคปจจุบัน โดยเฉพาะตาม
แนวนโยบายการเตรียมความพรอม.เด็กสุประชาคมอาเซียนที่มุงเนนการใหเด็กใชภาษาอังกฤษเปนเครื่องมือ
ในการสื่อสารกับคนตางชาตางวัฒนธรรมอื่น.. อยางไรก็ตาม แนวการสอนภาษาอังกฤาสสําหรับเด็กควร
คํานึงถึงพัฒนาการตามวัยและความสามารถในการรับรูของเด็กเปนสําคัญ ซึ่งตามหลักพัฒนาการของเด็ก
วัยอนุบาลนั้น เด็กวัยนี้เปนวัยที่เรียนรูจากความสนใจเปนหลัก (Emotional-based Learning) การเรียนรูจาก
การเลน การมีปฏิสัมพันธรวมกับผูใหญ ผานแนวการสอนแบบ Whole Language ที่เนนการจดจําโครงสราง
รูปคํา (Word-shape Recognition) จะนําไปสูความสนุกสนาน ความรูสึกอยากติดตาม และที่สําคัญเกิดการ
จดจําและสามารถเชื่อมโยงการใชคําศัพทที่เรียน สูชีวิตประจําวัน
เทคนิคการสอนคําศัพทภาษาอังกฤษสําหรับเด็กวัยอนุบาล
1. การเลือกคําศัพท์
    ควรจัดคําศัพทใหอยูในหมวดหมูเดียวกันจะชวยใหจําไดงายขึ้น เชน ศัพทเกี่ยวกับอาหาร
เครื่องใชไฟฟา อวัยวะรางกาย สีตางๆ เปนตน
2. วิธีการสอน
    เนนใหเด็กไดฝกการใชศัพทการสอนศัพทเพียงครั้งเดียวไมพอ ลจะตองทบทวนบอยๆ ดวยวิธีการอัน
หลากหลายเพื่อมิใหเด็กเกิดความเบื่อหนาย และควรหมั่นทบทวนบอยๆ เพราะถาศัพทที่สอนไปแลวไมไดใช
เด็กก็อาจลืมได
 3. การสอนคําศัพทใหม
    การสอนศัพทใหมควรสอนใหผานประสาทสัมผัสใหมากที่สุดโดยใชรูปแบบประโยคหรือศัพทที่เด็ก
เคยเรียนรูมาแลวโดยมีคําที่เปนศัพทใหมปนอยูเพียงคําเดียว แลวใหเดาความหมายของคําศัพทนั้น วิธีนี้จะ
ทําใหนักเรียนจําความหมายไดดีกวาแบบบอกตรงๆ


4. การเชื่อมโยงคําศัพทภาษาอังกฤษกับภาษาไทย

    การแปลความหมายของศัพทเปนภาษาไทยตรงๆ ควรทําตอเมื่อเห็นวาไมอาจใชวิธีอื่นที่ดีกวา
เหมาะสมกวาการใหความหมายของคําในภาษาอังกฤษเปนภาษาไทยนั้น ไมเสียหายอะไรแตการแปลแบบ
คําตอคําจะทําใหแปลไมรูเรื่องเขาไปใหญ
 5. สื่อประกอบการสอน
    ควรใชสื่อของจริงมาประกอบในการสอนคําศัพทใหม ใหตัวอยางแกเด็กใหมากเพื่อใหเด็กใชตัวอยาง
นั้นๆ มาทําความเขาใจ
 6. การปฏิบัติตอเด็ก
    เวลาตอบใหเด็กตอบเปนกลุมกอน เพื่อใหเด็กคนอื่นๆไดเรียนรูไปพรอมๆกัน ไมควรแบงกลุมเด็กเกง
เด็กออนพยายามใหเด็กเกิดการโตตอบอยางรวดเร็ว แตไมควรคาดคั้นเด็กที่ตอบไมไดใหตอบใหไดแต
พยายามชวยเหลือเด็กโดยการแนะเปนแนวทางไปเรื่อยๆแทน
ลําดับขั้นในการสอนศัพทขั้นพื้นฐาน
1. ครูออกเสียงคําศัพททีละคํา 2-3 ครั้ง อยางชัดเจน
2. ครูใหความหมายของคําศัพทดวยการใชสื่ออุปกรณ หรือแสดงทาทางประกอบใหเด็กลองเดาดูกอน
3. ครูพูดตัวอยางประโยคประกอบดวยคําศัพทนั้นซ้ําๆ 2-3 ครั้ง โดยใหเด็กลองหัดฟงและพูดไปดวย
4. ครูทบทวนคําศัพทที่สอนผานกิจกรรมการรองเพลง เลานิทาน หรือ เปดโอกาศใหเด็กไดเลนเกมทาง
ภาษาที่เกี่ยวของกับคําศัพทที่เรียนมา เพื่อเปนการทบทวนหรือเรียนรูซ้ำ
 การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษในระดับเด็กอนุบาล สามารถสอนไดหลายวิธีการ เชน เพลง เกม
นิทาน ดังตอไปนี้
รูปแบบการสอนคําศัพทภาษาอังกฤษ
การสอนภาษอังกฤษสามารถสอนไดในหลานรูปแบบ ในที่นี้ยกตัวอยางใน 3 รูปแบบ คือ การสอน
คําศัพทภาษาอังกฤษผานนิทาน การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษผานเพลง การสอนภาษาอังกฤษผานเกม
1. การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษผานนิทาน
     นิทานจัดวาเปนสื่อที่ดีเหมาะที่จะนําไปสอนภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะนิทานประกอบภาพ เพราะภาพ
และเนื้อเรื่องในนิทานถือเปนการจําลองเรื่องราว เหตุการณในโลกกวางเปนเรื่องราวสั้นๆ งายๆ สําหรับเด็ก
เนื้อเรื่องนาสนใจพรอมภาพประกอบชวยใหเด็กสามารถเชื่อมโยงคําศัพทกับรูปภาพและตัวอักษร ทําใหเด็ก
นอกจากจะไดรับความสนุกสนานเพลิดเพลิน มีคติสอนใจ แลวยังเปนการสรางประสบการณในการฟงสิ่งที่
 ออกจากปากผูเลาจริงๆ ทั้งความสามารถในการออกเสียง การจดจําโครงสรางรูปคําและการรูวิธีการนําไปใช
ในการสนทนา อันจะนําปสูการรักการอานเด็กๆ และเกิดสนใจอยากเรียนรูคําศัพทตางๆ มากขึ้น
เทคนิคการใชนิทานเพื่อสอนภาษาอังกฤษ
 1) การเลือกนิทาน
 นิทานที่จะเลือกควรเปนนิทานที่มีคําสั้นๆ เนนนิทานที่มีภาพประกอบ อาจเปนนิทานเนนสอนคําศัพท หรือนิทานที่เปนเรื่องที่เด็กสามารถมีกิจกรรมและมีสวนรวมกับเรื่องไดดี ตามความสนใจของเด็ก มีการใชภาษาที่เหมาะสมตามวัยและพัฒนาการของเด็ก เนื้อเรื่องมีการใชคําศัพทซ้ำ ใชคําคลองจอง และมีรูปแบบประโยคที่เขาใจงาย เรื่องราวไมซับซอน
 2) การเล่านิทาน
 กอนการเลานิทาน ควรพูดคุยกับเด็กในหัวขอที่เกี่ยวกับนิทานอาจเปนประสบการณของครูเอง
หรือของเด็กคนใดคนหนึ่งในหอง และเนนการจดจําคําศัพทและสํานวนของภษาตางประเทศ ดวยการใชคํา
ซ้ำ สรางบรรยากาศของการใชสํานวนของเจาของภาษา เชน ใหเริ่มตนการเลานิทานดวยการบอกเด็กเปน
ประโยคภาษาอังกฤษ เชน I’m going to tell you a story about …….หรือ Once upon the time…...เพื่อ
เด็กจะสามารถจํารูปแบบการเลานิทานจากครูไดโดยไมตองสอน ใชน้ำเสียงใหเหมาะกับเรื่องและอารมณของตัวละครที่สวมบทบาทอยูมีการใชเสียงสูง ต่ำเปนจังหวะ โดยเมื่อถึงจุดสําคัญของเรื่องควรเปดโอกาสใหเด็กมี
สวนรวม เชนการตั้งคําถามเปนภาษาอังกฤษในขณะที่เด็กกําลังอยูในอารมณรวมอยู โดยอาจใบเปนทาทางตามเรื่องเพื่อใหเด็กเกิดความสนุกสนานมากขึ้นควรใชทาทางและสีหนาประกอบการเลา และพยายามใหเด็กมีโอกาสทํากิจกรรมที่เคลื่อนไหวโดยอาจใหเด็กทําทาทางตามตัวละครในเนื้อเรื่อง โดยมีครูเปนผูออกเสียง พูดประโยคตามทาทางนั้นๆ อยางชาๆ เพื่อใหเด็กจําทาทางและสําเนียงของภาษา พรอมกับความเพลิดเพลิน นอกจากนี้นักเรียนยังเกิดความรูสึกวาตนเองมีสวนรวมอยูตลอดเวลา ทําใหการเรียนรูสนุกมากยิ่งขึ้น
 ครูสามารถใชเกมเพื่อเปนการทบทวนคําศัพทที่เกี่ยวของกับนิทาน มาตอยอดทํากิจกรรมที่หลากหลายขึ้นเพื่อใหเด็กเขาใจและคุนเคยกับภาษาและคําศัพทในเนื้อเรื่อง ครูสามารถเลาซ้ำหรือทบทวนอยูเสมอ
 3) การจัดการชั้นเรียน
 ครูอาจจะลองจัดที่นั่งใหเด็กใหมใหเด็กลงมานั่งที่พื้นลอมรอบตัวครู หรือ ออกไปเลานิทานกลางแจงใตรมไม เพื่อสรางบรรยากาศแปลกใหมและพิเศษ
4) สื่อประกอบการเล่านิทาน
ควรหาอุปกรณและสื่อที่ดึงดูดใหเด็กสนใจวาจะเกิดอะไรขึ้นในชั่วโมงนั้นๆ เชน การนําเพลงมาใชประกอบเนื้อเรื่องมาเปด เพื่อใชเสียงเพลงกระตุนความรูสึกของเด็กอาจใหเด็กเคลื่อนไหวตามจังหวะหรือแสดงทาประกอบคําศัพทในเพลงอยางงายหรืออาจใชเทคนิค Finger Play มาสอนคําศัพทในนิทาน การนําตุกตามาสมมุติ
เปนตัวละคร การจัดทําฉากนิทาน3มิติ
2. การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษผ่านเพลง
    เพลงเปนสิ่งที่มีประโยชนตอการจัดการเรียนรู ครูผูสอนสามารถใชเพลงสอดแทรกเขาไปในบทเรียน
หรือในขณะดําเนินการสอนทุกขั้นตอน ทั้งนี้ขึ้นอยูกับความสอดคลองในเนื้อหาสาระและจุดประสงคการ
เรียนรูที่ตองการใหเกิดกับผูเรียนเจริญเติบโตทั้งทางดานรางกาย อารมณ สังคม และสติปญญา ธรรมชาติ
ของเด็กชอบการเลนสนุกสนาน ตองการแสดงออก และการรองเพลงอยูแลว หากครูผูสอนไดนําเพลง
ภาษาอังกฤษมาประกอบการเรียนการสอน ใหบทเรียนมีความหมาย นาสนใจและสนุกสนานมีชีวิตชีวา
ยอมจะชวยใหการสอนภาษาอังกฤษมีความหลากหลายมากขึ้น ไมจํากัดอยูแคการจดจํากฎเกณฑเพียง
อยางเดียว เปนการทบทวนเนื้อหาไดเรียนรูไปแลว ใหผูเรียนจดจําไดดียิ่งขึ้น และปลูกฝงเจตคติที่ดีตอ
ภาษาอังกฤษ
เทคนิคการใช้เพลงเพื่อสอนภาษาอังกฤษ
1) การเลือกเพลง
   1. เพลงนั้นตองไมยาวเกินไป เพลงควรมีทํานอง คํารองที่ชัดเจน และไมยาวจนเกินไป
   2. เพลงควรมีทํานองที่ซ้ำกัน ซึ่งเปนการงายตอการเรียน
   3. เนื้อหาควรถูกตองตามไวยากรณ เชน Subject Verb, Agreement และ Word Order
   4. เลือกเพลงใหเหมาะสมกับอายุและระดับชั้นของผูเรียนดังนั้น กอนการนําเพลงมาใชประกอบการเรียนการสอน จึงควรพิจารณาลักษณะของเพลงวาเหมาะสมเพียงไร
2) ลําดับขั้นตอนการสอนเพลง
   1. ครูอธิบายสั้นๆใหนักเรียนเขาใจ เปนบทเพลงเกี่ยวกับอะไร ครูอาจใชอุปกรณการสอนชวยแสดงความหมายของคําศัพทบางคําที่นักเรียนไมเคยเรียนมากอน
   2. ครูรองใหนักเรียนฟง 1-2 จบ
   3. ครูรองนํา 1 หรือ 2 บรรทัด ใหนักเรียนรองตามเมื่อแนใจวานักเรียนรองไดถูกตองทั้งคํารองและทํานองจึงรองนําบรรทัดตอไป โดยรองทวนบรรทัดตนๆกอนทุกครั้ง
   4. ครูรองพรอมกับนักเรียนตั้งแตตนจนจบ ถาเนื้อเพลงยาวและมีคํายาก ครูอาจเขียนเนื้อเพลงใหนักเรียนดูในขั้นตอนก็ได อยางไรก็ตาม ไมควรเขียนเนื้อเพลงใหนักเรียนดูกอน เพราะจะทําใหนักเรียนเปนกังวลตอการ
อานหรือสะกดตัวมากไป
   5. ครูเขียนเนื้อเพลงใหนักเรียนอานและคัดลอกลงในสมุด
 ดังนั้นจะเห็นไดวา การสอนเพลงใหถูกวิธีตองปฏิบัติอยางมีขั้นตอน ครูผูสอนตองวางแผน เตรียมสื่ออุปกรณ์
ตางๆใหพรอมโดยเฉพาะตัวครูเอง ตองมีความพรอมเปนอับดับแรก อยางไรก็ตามกอนการรองเพลงทุกครั้งตองไมลืมที่จะบอกผูเรียนวาเพลงนั้นๆเปนคํารองและทํานองของใคร(ถาทราบ) เพื่อใหเกียรติผูแตงคํารองและทํานองนั่นเอง
 3) การจัดการเรียนการสอน
 ในการสอนเพลงภาษาอังกฤษ ไมใชแตตองการใหผูเรียนสามารถรองเพลงไดถูกตองทั้งคํารองทํานองและจังหวะเทานั้น แตครูผูสอนยังตองใชวิธีการตางๆใหผูเรียนรองเพลงอยางเขาใจความหมายและวัฒนธรรมเจาของภาษา และใชเพลงเปนเครื่องมือเสริมประสบการณตางๆไดดวยตนเอง
 1. เลาเรื่องหรือสรางเรื่องปากเปลาเกี่ยวกับเพลงนั้น
 2. เขียนเรื่องเกี่ยวกับเพลงนั้น
 3. ดัดแปลงเนื้อเพลงเปนบทสนทนาสั้นๆ
 4. นําแบบประโยคที่พบในบทเพลงที่เรียนในบทที่แลวมาเปนตัวอยางในการสรางประโยคใหม
 5. หาคําใหมมาใชประโยคเดิมในบทเพลงนั้น
 6. คิดหาทางายๆหรือการแสดงประกอบจังหวะงายๆมาใชประกอบ
 ดังนั้น สรุปไดวา การใชเพลงเพื่อสงเสริมทักษะการเรียนรูทางภาษาจะมีประโยชนโดยตรงตอผูเรียนมาก หากครูผูสอนเขาใจจุดประสงคการสอนเพลง เลือกเพลงไดเหมาะสมกับระดับของผูเรียน และปฏิบัติอยางมีขั้นตอน
3. การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษผ่านเกม
     เกมเปนหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนโดยเฉพาะเกมภาษาอังกฤษซึ่งภาษาอังกฤษมีความสําคัญ
ตอการเรียนการสอนอยูเสมอ เพราะภาษาอังกฤษเปนภาษาระหวางชาติที่ใชกันอยางแพรหลายทั่วโลกการใช
เกมประกอบการสอนภาษาอังกฤษจะชวยทําใหผูเรียนสนุกสนานกับบทเรียน ไมนาเบื่อ เปดโอกาสใหผูเรียน
ฝกความกลาในการใชภาษา ทําใหผูเรียนมีความมั่นใจเมื่อนําภาษาอังกฤษไปใชในชีวิตประจําวัน และชวย
ใหผูเรียนมีทัศนคติที่ดีตอการเรียนการสอนภาษาอังกฤษดวย สวนประกอบของเกมไดแก ชื่อเกม จุดมุงหมาย
การแบงกลุม อุปกรณ และขอเสนอแนะในการเลนเกมผูสอนและผูเลนควรดัดแปลงแตละเกมใหเหมาะสมกับ
สภาพหองเรียน ระดับความรู และความสามารถของผูเรียนดวย
เทคนิคการใช้เพลงเพื่อสอนภาษาอังกฤษ
1) การเลือกเพลง
   เกมภาษาแบงได 2 ประเภทคือ
   1. Communicative Games เกมนี้มีจุดประสงคใหผูเรียนสื่อสาร สนทนา แลกเปลี่ยน หรือปรับปรุงแตง
ขอมูล โดยใชโครงสราง ภาษาหรือคําศัพทที่กําหนดให
 2. Non-communicative Games เกมนี้สรางขึ้นเพื่อใหผูเรียนไดรับความสนุกสนาน คลายความเครียด สวนใหญเกมเหลานี้จะเนนในรูปการแขงขัน มีผูแพ ผูชนะ
 2) ลําดับขั้นตอนการสอนเพลง
    1.ขั้นเลือก ควรคํานึงถึงภาษาที่ใช ควรเหมาะกับระดับความสามารถของผูเรียนและขนาดของชั้นเรียนดวย
    2.ขั้นเตรียมการ เตรียมการใชเกมกอนลวงหนาเปนอยางดี โดยเฉพาะอุปกรณที่จะใชในการเลนเกม
    3.ขั้นการใชเกม อธิบายวัตถุประสงคของเกม และวิธีการเลน พรอมทั้งกําหนดกติกาอยางชัดเจน เพื่อใหเกมเปนไปอยางมีระเบียบ จากนั้นลงมือเลนเกม โดยแบงกลุมตามความเหมาะสม
    4.ขั้นประเมินผล ถาหากการเลนเกมเปนแบบลักษณะการแขงขัน ควรใหคะแนนสําหรับกลุมที่ทําไดถูกตองโดยการเขียนคะแนนบนกระดาน กลุมใดที่ทําผิดพลาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
 3) การจัดการเรียนการสอน
    1.ทําความคุนเคยกับเกมมากอนนําไปใชประกอบการสอน โดยอานกติกาเลนหลายๆครั้งเพื่อใหเกิดความ
เขาใจที่ดี
    2.เลือกใชใหเหมาะสมกับขั้นตอนการสอน โดยพิจารณาวาควรใชเกมใดในขั้นตอนใด
    3.อธิบายวิธีการเลนเกมแกผูเรียนอยางชัดเจน จงตระหนักเสมอวาเด็กทุกคนในชั้นเรียนเขาใจวิธีการเลน
    4.ควรแสดงวิธีการเลนดวยตนเอง โดยยืนอยูหนาชั้นเรียน เพื่อใหผูเรียนทั้งชั้นมองเห็นอยางทั่วถึง
    5.ควรปฏิบัติตามกติกาที่กําหนดไวในแตละเกมอยางเครงครัด
    6.ควบคุมเกมในขณะที่เลนอยาใหผูเลนสงเสียงดังมากเกินไป ทําใหระเบียบวินัยของหองเรียนเสีย
    7.สังเกตปฏิกิริยาของผูเรียนแตละคนในขณะที่เลน ไมควรติเตียนผูกระทําผิดอยางรุนแรง
    8.อยาเลนเกมนั้นนานจนเกินไป แตละเกมควรใชเวลา 8-10 นาที
    9.อยาใชเกมบางอยางบอยนัก เพราะจะทําใหผูเรียนไมกระตือรือรนในการเลน
    10.ศึกษาขอเสนอแนะของเกมแตละอัน เพื่อดัดแปลงวิธีเลนใหสอดคลองตามสภาพการเรียนการสอน


ต้วอย่างกิจกรรมการสอนภาษาอังกฤษ
 ชื่อเพลง Family Finger Play
คําศัพท์น่ารู้
1. Daddy
2. Mommy
3. Brother
= พอ
= แม
= พี่/นอง ชาย
4. Sister
5. Baby
= พี่/นอง สาว
= นองเล็ก
ประโยคน่ารู้
1. Where are you? = คุณอยูที่ไหน
2. Here I am? = ฉันอยูนี่
3. How do you do? = สบายดีหรือ
สื่อ
1. สีสําหรับวาดนิ้วหรือถุงมือ
2. ถุงมือผา
3. เพลง “Family Finger Play”
   Daddy finger, daddy finger, where are you? Here I am, here I am. How do you do?
   Mommy finger, Mommy finger, where are you? Here I am, here I am. How do you do?
   Brother finger, Brother finger, where are you? Here I am, here I am. How do you do?
   Sister finger, Sister finger, where are you? Here I am, here I am. How do you do?
   Baby finger, Baby finger, where are you?Here I am, here I am. How do you do?
วิธีการสอน
1. ครูรองเพลงและทําทาทางประกอบใหเด็กดู 1-2 รอบ
2. ใหเด็กรองเพลงและทําทาทางประกอบพรอมกับครู 1-2 รอบ
3. ใหเด็กรองเพลงและทําทาทางดวยตนเอง


สรุปได้ว่า    เทคนิคการสอนภาษาอังกฤษอันดับแรกครูควรวางแผนการจัดประสบการณ์ก่อน กำหนดว่าจะสอนเด็กในเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรและเด็กได้รับอะไรจากการเรียนการสอน ครูควรจัดกิจกรรมสำหรับให้มีความหลากหลายเป็นขั้นตอนจากง่ายไปหายาก โดยอาจจะใช้นิทาน เพลง หรือเกม เข้ามาช่วยในการจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้เ็ดกอยากเรียนรู้มากขึ้นและคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ควรจัดกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาเด็กแบบองค์รวมทั้งการฟัง พูด อ่าน เขียน เปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกทำในกิจกรรมที่เด็กชอบหรือเด็กสนใจ ซึ่งถ้าเด็กได้ทำในสิ่งที่ชอบ เขาก็สามารถเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี
 อ้างอิง https://goo.gl/Jhl9An
อ้างอิง https://goo.gl/IxNFRW
อ้างอิง  file:///C:/Users/Administrator/Downloads/Documents/ASEAN%20FAMILY%20NEW.pdf



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น