เทคนิคในการจัดกิจกรรมโดยใช้ภาษาอังกฤษให้สอดคล้องกับพัฒนาการของเด็กปฐมวัย
ภาษามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์
ภาษาเป็นเครื่องมือสำหรับการคิด ซึ่งจะนำไปสู่พัฒนาการทางเชาวน์ปัญญาในขั้นสูง
ภาษาเป็นเครื่องมือสำหรับการสื่อสาร ทั้งในการแสดงออกถึงความต้องการ
ความรู้สึกนึกคิด และข่าวสาร อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้
โดยเป็นสื่อกลางที่ช่วยให้มนุษย์สามารถถ่ายทอดความคิดที่เป็นนามธรรมได้
การจัดประสบการณ์เพื่อส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยจึงเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง
การวางแผนการจัดประสบการณ์ทางภาษาควรเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจว่าการจัดประสบการณ์
มีความหมายที่กว้างกว่าการสอน หรือการถ่ายทอดความรู้ แต่เป็นการจัดเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เด็กได้รับการพัฒนาทางภาษา
และควรทำความเข้าใจด้วยว่าการเรียนรู้ภาษาเป็นเรื่องที่สัมพันธ์กับการรู้หนังสือ (Literacy)
ซึ่งหมายถึงปฏิสัมพันธ์ทางสติปัญญาที่มีความซับซ้อนที่เกิดขึ้นระหว่างผู้อ่านกับข้อความ
และระหว่างความรู้เดิมกับข้อมูลใหม่
และการรู้หนังสือของเด็กปฐมวัยเป็นการรู้หนังสือที่อยู่ในระยะแรกเริ่ม (Emergent
literacy) เป็นการเรียนรู้ของเด็กก่อนที่จะพัฒนาไปสู่การมีทักษะการรู้หนังสืออย่างเป็นทางการ
(Sowers, 2000: 140-141; Tompkins, 1997: 365) การจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยจึงต้องวางแผนให้ครอบคลุมทั้งเรื่องภาษาและการรู้หนังสือในระยะแรกเริ่ม
โดยแผนดังกล่าวจะต้องเหมาะสมกับพัฒนาการทางภาษาและการรู้หนังสือของเด็ก
และมีลักษณะบูรณาการ ให้เด็กได้ใช้ภาษาอย่างมีความหมายเป็นรายบุคคล
การกำหนดสาระการเรียนรู้ที่ใช้สำหรับจัดประสบการณ์ทางภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
1. ประสบการณ์สำคัญด้านการใช้ภาษา เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา ซึ่งสามารถแบ่งตามลักษณะการใช้ภาษา ดังนี้
1.1 การฟัง เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับทักษะหลายทักษะและมีลักษณะของการฟังที่หลากหลาย มาชาโด (Machado, 1999: 187) กล่าวว่า การฟังที่เด็กควรมีประสบการณ์มี 5 ประเภท ประกอบด้วย
(1) การฟังเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน (Appreciative Listening) ซึ่งเด็กควรมีโอกาสฟังตามวิธีนี้ทั้งจากการฟังเพลง กลอน หรือเรื่องราวต่างๆ
(2) การฟังอย่างมีวัตถุประสงค์ (Purposeful Listening) เด็กควรมีโอกาสได้ฟัง และปฏิบัติตามคำแนะนำ หรือตอบสนองต่อสิ่งที่ได้ฟัง
(3) การฟังเพื่อจำแนกความแตกต่าง (Discriminative Listening) เด็กควรมีโอกาสฟัง และแยกแยะเสียงต่างๆ ในสิ่งแวดล้อม ตลอดจนจำแนกความต่างของการเปลี่ยนแปลงของเสียง
(4) การฟังอย่างสร้างสรรค์ (Creative Listening) เด็กควรได้รับการกระตุ้นให้เกิดจินตนาการและมีอารมณ์ร่วมกับประสบการณ์ที่ได้ฟัง ซึ่งจะทำให้เด็กมีการแสดงออกด้วยคำพูด หรือการกระทำอย่างอิสระตามธรรมชาติ
(5) การฟังแบบวิเคราะห์ (Critical Listening) เด็กควรได้ทำความเข้าใจ ประเมิน ตัดสินใจ และแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่ฟัง โดยมีครูเป็นผู้ตั้งคำถามให้เด็กคิดและตอบสนอง
หากพิจารณาประเภทของการฟังดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่ามีความจำเป็นที่จะต้องให้เด็กได้มีประสบการณ์สำคัญด้านการฟังอย่างครอบคลุมทุกวิธี เพื่อให้เด็กเกิดความตระหนักต่อเสียงต่างๆ และนำไปสู่การเข้าใจความหมายของสิ่งที่ได้ยินในที่สุด
1.2 การพูด เป็นวิธีการพื้นฐานที่เด็กช่วยให้เด็กได้แสดงออกซึ่งความเป็นตัวของตัวเอง อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ช่วยให้เด็กได้พัฒนาการคิดดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นด้วย เด็กควรมีประสบการณ์สำคัญด้านการพูด (กรมวิชาการ, 2546: 37; Machado, 1999: 327) ดังนี้
(1) การแสดงความคิด ความรู้สึก และความต้องการด้วยคำพูด
(2) การพูดกับผู้อื่นเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเอง หรือเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง
(3) การอธิบายเกี่ยวกับสิ่งของ เหตุการณ์ และความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ
(4) การพูดอย่างสร้างสรรค์ในการเล่น หรือการแก้ปัญหา
(5) การเชื่อมโยงการพูดกับท่าทาง หรือการกระทำต่างๆ
(6) การมีประสบการณ์ในการรอคอยจังหวะที่เหมาะสมในการพูด
1.3 การอ่าน เด็กปฐมวัยควรมีประสบการณ์สำคัญในการอ่านหลายรูปแบบ ผ่านประสบการณ์ที่สื่อความหมายต่อเด็ก ทั้งการอ่านภาพจากหนังสือนิทาน อ่านเครื่องหมาย อ่านสัญลักษณ์ หรืออ่านเรื่องราวที่เด็กสนใจ
1.4 การเขียน เด็กปฐมวัยควรมีประสบการณ์สำคัญในการเขียนหลายรูปแบบผ่านประสบการณ์ที่สื่อความหมายต่อเด็ก ทั้งเขียนภาพ เขียนขีดเขี่ย เขียนคล้ายตัวอักษร เขียนเหมือนสัญลักษณ์ หรือเขียนชื่อตนเองหรือคำที่คุ้นเคย
1. ประสบการณ์สำคัญด้านการใช้ภาษา เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์สำคัญที่ส่งเสริมพัฒนาการด้านสติปัญญา ซึ่งสามารถแบ่งตามลักษณะการใช้ภาษา ดังนี้
1.1 การฟัง เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับทักษะหลายทักษะและมีลักษณะของการฟังที่หลากหลาย มาชาโด (Machado, 1999: 187) กล่าวว่า การฟังที่เด็กควรมีประสบการณ์มี 5 ประเภท ประกอบด้วย
(1) การฟังเพื่อความสนุกสนานเพลิดเพลิน (Appreciative Listening) ซึ่งเด็กควรมีโอกาสฟังตามวิธีนี้ทั้งจากการฟังเพลง กลอน หรือเรื่องราวต่างๆ
(2) การฟังอย่างมีวัตถุประสงค์ (Purposeful Listening) เด็กควรมีโอกาสได้ฟัง และปฏิบัติตามคำแนะนำ หรือตอบสนองต่อสิ่งที่ได้ฟัง
(3) การฟังเพื่อจำแนกความแตกต่าง (Discriminative Listening) เด็กควรมีโอกาสฟัง และแยกแยะเสียงต่างๆ ในสิ่งแวดล้อม ตลอดจนจำแนกความต่างของการเปลี่ยนแปลงของเสียง
(4) การฟังอย่างสร้างสรรค์ (Creative Listening) เด็กควรได้รับการกระตุ้นให้เกิดจินตนาการและมีอารมณ์ร่วมกับประสบการณ์ที่ได้ฟัง ซึ่งจะทำให้เด็กมีการแสดงออกด้วยคำพูด หรือการกระทำอย่างอิสระตามธรรมชาติ
(5) การฟังแบบวิเคราะห์ (Critical Listening) เด็กควรได้ทำความเข้าใจ ประเมิน ตัดสินใจ และแสดงความคิดเห็นในสิ่งที่ฟัง โดยมีครูเป็นผู้ตั้งคำถามให้เด็กคิดและตอบสนอง
หากพิจารณาประเภทของการฟังดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้ว่ามีความจำเป็นที่จะต้องให้เด็กได้มีประสบการณ์สำคัญด้านการฟังอย่างครอบคลุมทุกวิธี เพื่อให้เด็กเกิดความตระหนักต่อเสียงต่างๆ และนำไปสู่การเข้าใจความหมายของสิ่งที่ได้ยินในที่สุด
1.2 การพูด เป็นวิธีการพื้นฐานที่เด็กช่วยให้เด็กได้แสดงออกซึ่งความเป็นตัวของตัวเอง อีกทั้งยังเป็นสิ่งที่ช่วยให้เด็กได้พัฒนาการคิดดังที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นด้วย เด็กควรมีประสบการณ์สำคัญด้านการพูด (กรมวิชาการ, 2546: 37; Machado, 1999: 327) ดังนี้
(1) การแสดงความคิด ความรู้สึก และความต้องการด้วยคำพูด
(2) การพูดกับผู้อื่นเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเอง หรือเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง
(3) การอธิบายเกี่ยวกับสิ่งของ เหตุการณ์ และความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ
(4) การพูดอย่างสร้างสรรค์ในการเล่น หรือการแก้ปัญหา
(5) การเชื่อมโยงการพูดกับท่าทาง หรือการกระทำต่างๆ
(6) การมีประสบการณ์ในการรอคอยจังหวะที่เหมาะสมในการพูด
1.3 การอ่าน เด็กปฐมวัยควรมีประสบการณ์สำคัญในการอ่านหลายรูปแบบ ผ่านประสบการณ์ที่สื่อความหมายต่อเด็ก ทั้งการอ่านภาพจากหนังสือนิทาน อ่านเครื่องหมาย อ่านสัญลักษณ์ หรืออ่านเรื่องราวที่เด็กสนใจ
1.4 การเขียน เด็กปฐมวัยควรมีประสบการณ์สำคัญในการเขียนหลายรูปแบบผ่านประสบการณ์ที่สื่อความหมายต่อเด็ก ทั้งเขียนภาพ เขียนขีดเขี่ย เขียนคล้ายตัวอักษร เขียนเหมือนสัญลักษณ์ หรือเขียนชื่อตนเองหรือคำที่คุ้นเคย
การจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย
การจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยควรจัดให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่เหมาะสมในการพัฒนาเด็กปฐมวัย (DAP) ไม่ควรเป็นการสอนทักษะทางภาษาอย่างเป็นทางการ แต่ควรเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความท้าทายให้เด็กเกิดความต้องการที่จะร่วมกิจกรรม และสามารถประสบความสำเร็จในการทำกิจกรรมด้วยตนเอง หรือมีผู้ใหญ่คอยชี้แนะ เป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับระดับพัฒนาการทางภาษาของเด็ก และช่วยให้เด็กก้าวไปสู่พัฒนาการทางภาษาในขั้นต่อไป ครูควรจัดกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อตอบสนองต่อความแตกต่างกันของเด็ก ตัวอย่างการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย มีดังต่อไปนี้
1. การสนทนาข่าวและเหตุการณ์ (Morning Message)
เป็นกิจกรรมที่เด็กและครูได้สนทนาร่วมกันในช่วงเริ่มต้นกิจกรรมของแต่ละวัน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน และได้เปลี่ยนกันเป็นผู้พูดและผู้ฟัง ครูควรส่งเสริมให้เด็กมีมารยาทที่ดีในการพูดและการฟัง หากเด็กคนใดไม่ต้องการพูดก็ไม่ควรถูกบังคับให้พูด เพื่อให้เด็กที่ไม่มั่นใจในตนเองรู้สึกสบายใจที่จะมีส่วนร่วมในการฟังการสนทนา
หัวข้อที่ใช้สนทนาอาจเกี่ยวกับการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน และเหตุการณ์พิเศษของแต่ละวัน เช่น วันนี้เราจะทำอะไรกันบ้าง จะมีใครมาที่ห้องเราบ้าง ฯลฯ เป็นข่าวสารจากเด็ก ซึ่งเด็กอาจเล่าเรื่องส่วนตัวของตนเอง หรือเล่าเกี่ยวกับสิ่งของที่ตนนำมา (Show & Tell) เด็กที่ได้เล่าเรื่องจะรู้สึกเสมือนว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่ตนกำลังพูดอยู่ นับว่าเป็นการช่วยขยายประสบการณ์ให้แก่เด็กคนอื่นๆ ด้วย และเมื่อเด็กๆรู้ว่าแต่ละวันเขาสามารถเล่าเรื่องเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนได้ เด็กจะเรียนรู้เกี่ยวกับการเตรียมเรื่องที่จะพูดไว้ล่วงหน้า หรือเป็นหัวข้อที่เด็กสนใจ ซึ่งเด็กๆจะพยายามหาข้อมูลมาให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เด็กๆ อาจหาข้อมูลด้วยการพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่ สังเกตหรือทดลองด้วยตนเอง ฯลฯ
การสนทนาเป็นวิธีการสำคัญและเป็นวิธีการหลักที่ครูจำเป็นต้องใช้ในการส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาของเด็กปฐมวัย เพราะในขณะที่เด็กสนทนากับครู เด็กจะได้ยินแบบอย่างของการใช้ภาษาที่ถูกต้องเหมาะสม เมื่อเด็กสนทนากันเอง เด็กจะมีโอกาสฟังความคิดเห็นของผู้อื่น แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ได้ยินคำศัพท์ใหม่ๆ ได้ทำความเข้าใจการพูดของเพื่อนจากสิ่งชี้แนะ (McGee and Richgels, 2000: 160) การที่เด็กได้เล่าเรื่องให้เพื่อนฟังทำให้เด็กรับรู้และเข้าใจเรื่องได้ดีขึ้น มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมากขึ้น เด็กได้ใช้ภาษาบ่อยขึ้น เด็กจะรู้จักใช้คำถามถามเพื่อน รู้จักการหาข้อมูลไว้ตอบคำถาม เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และยังช่วยพัฒนาการยอมรับในสิ่งที่ผู้อื่นพูดอีกด้วย ระหว่างการสนทนา ครูควรมีบทบาทเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในการสนทนา ถ้ามีผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่คนอื่นอยู่ด้วยก็ควรให้บุคคลเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของการสนทนา ไม่ควรมีบรรยากาศของการตัดสินว่าสิ่งที่เด็กพูดถูกหรือผิดเพื่อส่งเสริมให้เด็กต้องการมีส่วนร่วมในการสนทนาและติดตามหัวข้อที่สนทนาอย่างสม่ำเสมอ
2. การอ่านออกเสียงให้เด็กฟัง (Reading Aloud)
เป็นกิจกรรมที่ครูเลือกวรรณกรรมสำหรับเด็กที่ดีมาอ่านให้เด็กฟัง ครูควรจัดให้มีช่วงเวลาเฉพาะสำหรับการอ่านออกเสียงให้เด็กฟัง (Story Time) กิจกรรมนี้อาจจะจัดเป็นกิจกรรมกลุ่มย่อยหรือจัดสำหรับเด็กกลุ่มใหญ่ก็ได้ โดยครูเลือกหนังสือที่เด็กสนใจมาอ่านให้เด็กฟัง ครูควรอ่านชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง ผู้วาดภาพประกอบ อ่านเนื้อเรื่องพร้อมกับชี้ข้อความขณะที่อ่าน เปิดโอกาสให้เด็กได้ถามคำถาม หรือสนทนาเกี่ยวกับตัวละคร หรือเรื่องราวในหนังสือ ครูอาจเชิญชวนให้เด็กคาดเดาเหตุการณ์ในเรื่องบ้าง และควรเตรียมข้อมูลที่ช่วยให้เด็กเข้าใจคำยากที่ปรากฎในเรื่อง ถามคำถามที่กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ และจัดกิจกรรมต่อเนื่องจากเรื่องที่อ่านให้เด็กเลือกทำตามความสนใจ เช่น เตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่ปรากฎในเรื่องในเด็กได้เล่นสมมุติ เตรียมภาพให้เด็กได้เรียงลำดับเรื่องราว เป็นต้น
ช่วงเวลาที่ครูอ่านหนังสือให้เด็กฟังนี้ควรเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่น และมีความสุข ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูและเด็ก ครูควรอ่านหนังสือให้เด็กฟังทุกวันเพื่อช่วยให้เกิดทัศนคติที่ดีต่อการอ่าน และช่วยให้เด็กมีความรู้เกี่ยวกับการใช้หนังสือ การใช้สิ่งชี้แนะในการคาดคะเนและตรวจสอบการคาดคะเน
3. การให้เด็กเล่าเรื่องซ้ำ (Story Retelling)
เป็นกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความสามารถในการจับใจความ เด็กปฐมวัยเรียนรู้การจับใจความด้วยการฟังนิทาน เพราะนิทานมีโครงสร้าง ลีลาในการเขียน และเรื่องราวที่เด็กคุ้นเคย เอื้อให้เด็กสามารถใช้ความรู้เดิมในการจับใจความจากเรื่องที่ฟังและดูภาพประกอบ เมื่อครูเล่านิทานให้เด็กฟังแล้ว ครูต้องถามคำถามเพื่อกระตุ้นให้เด็กคิดจับใจความสำคัญ ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นแบบอย่างของการคาดคะเน แปลความ ตีความ และตรวจสอบความเข้าใจ แล้วเก็บประเด็นสำคัญในการจับใจความ จากนั้นจึงเปิดโอกาสให้เด็กเล่าเรื่องให้ผู้อื่นฟัง โดยการเล่าเรื่องอาจเป็นกิจกรรมระหว่างครูกับเด็ก หรือเป็นกิจกรรมระหว่างเด็กกับเด็กด้วยกัน เพื่อให้เด็กเกิดแรงจูงใจในการเรียนและฝึกปฏิบัติในสิ่งที่เรียนรู้ไปแล้ว
เทคนิคในการสอนเล่านิทานแบบเล่าเรื่องซ้ำ ได้แก่ ก่อนเล่านิทานครูถามคำถามให้เด็กคาดคะเน และเชื่อมโยงประสบการณ์เดิม ขณะเล่านิทาน ครูถามคำถามให้เด็กตีความ ให้คาดคะเน ให้แปลความ และตรวจสอบความเข้าใจ หลังเล่านิทานจบควรจัดกิจกรรมให้เด็กได้ทบทวนเรื่องราวที่ได้ฟัง เช่น การทำแผนผังนิทาน หนังสือนิทาน บอร์ดนิทาน กล่องนิทาน ฉากนิทาน แผ่นพับนิทาน ภาพแขวนต่อเนื่อง การเชิดหุ่น ภาพตัดต่อนิทาน บทบาทสมมติ และกะบะนิทาน ทั้งนี้ ครูควรเสริมแรงอย่างเหมาะสมขณะเด็กเล่าเรื่องซ้ำให้ผู้อื่นฟังด้วย (อลิสา เพ็ชรรัตน์, 2539)
4. การอ่านร่วมกัน (Shared Reading)
เป็นกิจกรรมที่มีเครื่องมือหลัก หรือสื่อพื้นฐานคือหนังสือเล่มใหญ่ ซึ่งขนาดของตัวหนังสือใหญ่พอที่เด็กที่นั่งอยู่ข้างหลังมองเห็นคำหรือตัวหนังสือในแต่ละหน้า หนังสือเล่มใหญ่ที่เลือกมาใช้ควรเป็นวรรณกรรมเด็กที่เป็นที่คุ้นเคย และเป็นประเภททายได้
ขั้นตอนของการอ่านร่วมกันเริ่มตั้งแต่การอภิปรายถึงเนื้อเรื่องของหนังสือที่จะอ่าน หรือนำสิ่งของที่สัมพันธ์กับเรื่องมานำเสนอ เพื่อช่วยให้เด็กเริ่มสนใจหนังสือที่จะอ่านและช่วยให้เด็กมีความรู้พื้นฐานในเรื่องที่จะอ่านด้วย อ่านหนังสือให้เด็กฟังทั้งเรื่องเพื่อให้เด็กสนใจ ชี้คำขณะที่อ่านเพื่อให้เด็กคุ้นเคยกับตัวหนังสือ คำ หรือข้อความเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการอ่าน ให้เด็กสนุกกับส่วนที่ทายล่วงหน้าได้
เมื่ออ่านร่วมกับเด็กหลายครั้งแล้วครูควรจัดกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ส่วนย่อยของข้อความที่เป็นประโยค วลี หรือคำ โดยการทำหน้ากากปิดตัวหนังสือเพื่อให้เด็กเห็นคำหรือวลีที่ต้องการเน้นให้ชัดขึ้นและให้เด็กที่เป็นอาสาสมัครอ่าน นอกจากทำหน้ากากแล้วครูอาจใช้กิจกรรมการเติมคำที่เจาะจงที่หายไป (Cloze) กิจกรรมนี้จะชวยให้เด็กเข้าใจได้ว่าข้อความหรือคำไม่ใช่รูปภาพ และเรียนรู้ว่าตัวหนังสือจะมีทิศทาง ซึ่งการเติมคำที่หายไปนี้อาจเป็นประเภททางเสียงและประเภททางตา หรือครูอาจใช้กิจกรรมการเน้นที่คำสำคัญด้วยการทำบัตรคำสำคัญไว้ให้เด็กนำไปเทียบกับคำในหนังสือตามความสนใจ หรืออาจทำบัตรภาพจากในหนังสือให้เด็กจับคู่ภาพกับเนื้อความในหนังสือก็ได้ (จูดิธ พอลลาด สลอทเธอร์, 2543)
หลังจากที่ได้อ่านร่วมกันแล้ว ครูควรจัดกิจกรรมการสื่อภาษาและกิจกรรมการเล่นเกมภาษา เพื่อให้เด็กได้สื่อความหมายสิ่งที่ได้อ่าน กิจกรรมการสื่อภาษา ได้แก่ การทำหนังสือนิทาน การแสดงละคร การเล่าเรื่องซ้ำ การทำงานศิลปะ การทำภาพผนัง ฯลฯ โดยใช้หนังสือเล่มใหญ่เป็นสื่อ ส่วนกิจกรรมการเล่นเกมภาษา ได้แก่ เกมหาคำที่เหมือนกันในนิทาน เกมหาชื่อตัวละคร เกมพูดตามเครื่องหมายวรรคตอน เกมลำดับภาพและข้อความจากเรื่อง เป็นต้น (สุภัทรา คงเรือง, 2539)
5. การสอนอ่านแบบชี้แนะ (Guided Reading)
เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กมีความรู้พื้นฐาน ในด้านการอ่านอย่างเหมาะสมกับระดับความสามารถของเด็ก เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างครูกับเด็กเป็นรายบุคคลหรือทำงานกับเด็กเป็นกลุ่มย่อย 4 - 8 คน (Stewig and Simpson, 1995)
ครูควรเลือกหนังสือที่มีระดับความยากเหมาะสมกับกลุ่มเด็ก โดยพิจารณาจากความซับซ้อนของเรื่องและภาษาที่ใช้ในนิทาน ลักษณะของประโยคที่เล่าเรื่อง และภาพประกอบ ที่ช่วยให้เด็กคาดเดาเรื่องและคำได้มาใช้ในการอ่านร่วมกับเด็ก กิจกรรมนี้มีเงื่อนไขสำคัญที่กลุ่มเด็กและครูต้องมีหนังสือที่ครูเลือกไว้ทุกคน เมื่อครูประเมินว่าเด็กต้องได้รับการเพิ่มพูนความรู้พื้นฐานเรื่องใด ครูจะตั้งวัตถุประสงค์ในเรื่องนั้น เพื่อนำมาสอดแทรกในการอ่านร่วมกับกลุ่มเด็ก
ความรู้พื้นฐานในการอ่านของเด็ก เช่น ส่วนประกอบของหนังสือ การใช้หนังสือ การคาดเดาเรื่องราวจากภาพหรือโครงสร้างของประโยค การเชื่อมโยงเรื่องราวกับประสบการณ์เดิมของเด็ก การรู้จักคำใหม่ การเล่นกับเสียงของตัวอักษรหรือพยัญชนะต้นของคำ การคาดเดาคำใหม่จากภาพ และตัวอักษร ฯลฯ (Neuman and Bredekamp, 2000) ทั้งนี้ครูต้องกำหนดช่วงเวลาเฉพาะในการสอนอ่านแบบชี้แนะ ซึ่งในแต่ละสัปดาห์เด็กควรมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง สิ่งสำคัญในการสอนอ่านแบบชี้แนะคือ การที่ครูสอนทักษะย่อย ๆ นี้จะต้องไม่ทำมากเกินไปจนเสียอรรถรสของเรื่องที่อ่านด้วยกัน
การจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัยควรจัดให้สอดคล้องกับแนวปฏิบัติที่เหมาะสมในการพัฒนาเด็กปฐมวัย (DAP) ไม่ควรเป็นการสอนทักษะทางภาษาอย่างเป็นทางการ แต่ควรเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีความท้าทายให้เด็กเกิดความต้องการที่จะร่วมกิจกรรม และสามารถประสบความสำเร็จในการทำกิจกรรมด้วยตนเอง หรือมีผู้ใหญ่คอยชี้แนะ เป็นกิจกรรมที่เหมาะสมกับระดับพัฒนาการทางภาษาของเด็ก และช่วยให้เด็กก้าวไปสู่พัฒนาการทางภาษาในขั้นต่อไป ครูควรจัดกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อตอบสนองต่อความแตกต่างกันของเด็ก ตัวอย่างการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาสำหรับเด็กปฐมวัย มีดังต่อไปนี้
1. การสนทนาข่าวและเหตุการณ์ (Morning Message)
เป็นกิจกรรมที่เด็กและครูได้สนทนาร่วมกันในช่วงเริ่มต้นกิจกรรมของแต่ละวัน ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ซึ่งกันและกัน และได้เปลี่ยนกันเป็นผู้พูดและผู้ฟัง ครูควรส่งเสริมให้เด็กมีมารยาทที่ดีในการพูดและการฟัง หากเด็กคนใดไม่ต้องการพูดก็ไม่ควรถูกบังคับให้พูด เพื่อให้เด็กที่ไม่มั่นใจในตนเองรู้สึกสบายใจที่จะมีส่วนร่วมในการฟังการสนทนา
หัวข้อที่ใช้สนทนาอาจเกี่ยวกับการปฏิบัติกิจวัตรประจำวัน และเหตุการณ์พิเศษของแต่ละวัน เช่น วันนี้เราจะทำอะไรกันบ้าง จะมีใครมาที่ห้องเราบ้าง ฯลฯ เป็นข่าวสารจากเด็ก ซึ่งเด็กอาจเล่าเรื่องส่วนตัวของตนเอง หรือเล่าเกี่ยวกับสิ่งของที่ตนนำมา (Show & Tell) เด็กที่ได้เล่าเรื่องจะรู้สึกเสมือนว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่ตนกำลังพูดอยู่ นับว่าเป็นการช่วยขยายประสบการณ์ให้แก่เด็กคนอื่นๆ ด้วย และเมื่อเด็กๆรู้ว่าแต่ละวันเขาสามารถเล่าเรื่องเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับเพื่อนได้ เด็กจะเรียนรู้เกี่ยวกับการเตรียมเรื่องที่จะพูดไว้ล่วงหน้า หรือเป็นหัวข้อที่เด็กสนใจ ซึ่งเด็กๆจะพยายามหาข้อมูลมาให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ เด็กๆ อาจหาข้อมูลด้วยการพูดคุยกับคุณพ่อคุณแม่ สังเกตหรือทดลองด้วยตนเอง ฯลฯ
การสนทนาเป็นวิธีการสำคัญและเป็นวิธีการหลักที่ครูจำเป็นต้องใช้ในการส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาของเด็กปฐมวัย เพราะในขณะที่เด็กสนทนากับครู เด็กจะได้ยินแบบอย่างของการใช้ภาษาที่ถูกต้องเหมาะสม เมื่อเด็กสนทนากันเอง เด็กจะมีโอกาสฟังความคิดเห็นของผู้อื่น แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ได้ยินคำศัพท์ใหม่ๆ ได้ทำความเข้าใจการพูดของเพื่อนจากสิ่งชี้แนะ (McGee and Richgels, 2000: 160) การที่เด็กได้เล่าเรื่องให้เพื่อนฟังทำให้เด็กรับรู้และเข้าใจเรื่องได้ดีขึ้น มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันมากขึ้น เด็กได้ใช้ภาษาบ่อยขึ้น เด็กจะรู้จักใช้คำถามถามเพื่อน รู้จักการหาข้อมูลไว้ตอบคำถาม เกิดการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน และยังช่วยพัฒนาการยอมรับในสิ่งที่ผู้อื่นพูดอีกด้วย ระหว่างการสนทนา ครูควรมีบทบาทเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในการสนทนา ถ้ามีผู้ปกครองหรือผู้ใหญ่คนอื่นอยู่ด้วยก็ควรให้บุคคลเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของการสนทนา ไม่ควรมีบรรยากาศของการตัดสินว่าสิ่งที่เด็กพูดถูกหรือผิดเพื่อส่งเสริมให้เด็กต้องการมีส่วนร่วมในการสนทนาและติดตามหัวข้อที่สนทนาอย่างสม่ำเสมอ
2. การอ่านออกเสียงให้เด็กฟัง (Reading Aloud)
เป็นกิจกรรมที่ครูเลือกวรรณกรรมสำหรับเด็กที่ดีมาอ่านให้เด็กฟัง ครูควรจัดให้มีช่วงเวลาเฉพาะสำหรับการอ่านออกเสียงให้เด็กฟัง (Story Time) กิจกรรมนี้อาจจะจัดเป็นกิจกรรมกลุ่มย่อยหรือจัดสำหรับเด็กกลุ่มใหญ่ก็ได้ โดยครูเลือกหนังสือที่เด็กสนใจมาอ่านให้เด็กฟัง ครูควรอ่านชื่อเรื่อง ชื่อผู้แต่ง ผู้วาดภาพประกอบ อ่านเนื้อเรื่องพร้อมกับชี้ข้อความขณะที่อ่าน เปิดโอกาสให้เด็กได้ถามคำถาม หรือสนทนาเกี่ยวกับตัวละคร หรือเรื่องราวในหนังสือ ครูอาจเชิญชวนให้เด็กคาดเดาเหตุการณ์ในเรื่องบ้าง และควรเตรียมข้อมูลที่ช่วยให้เด็กเข้าใจคำยากที่ปรากฎในเรื่อง ถามคำถามที่กระตุ้นให้เด็กคิดวิเคราะห์ และจัดกิจกรรมต่อเนื่องจากเรื่องที่อ่านให้เด็กเลือกทำตามความสนใจ เช่น เตรียมวัสดุอุปกรณ์ที่ปรากฎในเรื่องในเด็กได้เล่นสมมุติ เตรียมภาพให้เด็กได้เรียงลำดับเรื่องราว เป็นต้น
ช่วงเวลาที่ครูอ่านหนังสือให้เด็กฟังนี้ควรเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เด็กรู้สึกอบอุ่น และมีความสุข ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ที่ดีระหว่างครูและเด็ก ครูควรอ่านหนังสือให้เด็กฟังทุกวันเพื่อช่วยให้เกิดทัศนคติที่ดีต่อการอ่าน และช่วยให้เด็กมีความรู้เกี่ยวกับการใช้หนังสือ การใช้สิ่งชี้แนะในการคาดคะเนและตรวจสอบการคาดคะเน
3. การให้เด็กเล่าเรื่องซ้ำ (Story Retelling)
เป็นกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความสามารถในการจับใจความ เด็กปฐมวัยเรียนรู้การจับใจความด้วยการฟังนิทาน เพราะนิทานมีโครงสร้าง ลีลาในการเขียน และเรื่องราวที่เด็กคุ้นเคย เอื้อให้เด็กสามารถใช้ความรู้เดิมในการจับใจความจากเรื่องที่ฟังและดูภาพประกอบ เมื่อครูเล่านิทานให้เด็กฟังแล้ว ครูต้องถามคำถามเพื่อกระตุ้นให้เด็กคิดจับใจความสำคัญ ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นแบบอย่างของการคาดคะเน แปลความ ตีความ และตรวจสอบความเข้าใจ แล้วเก็บประเด็นสำคัญในการจับใจความ จากนั้นจึงเปิดโอกาสให้เด็กเล่าเรื่องให้ผู้อื่นฟัง โดยการเล่าเรื่องอาจเป็นกิจกรรมระหว่างครูกับเด็ก หรือเป็นกิจกรรมระหว่างเด็กกับเด็กด้วยกัน เพื่อให้เด็กเกิดแรงจูงใจในการเรียนและฝึกปฏิบัติในสิ่งที่เรียนรู้ไปแล้ว
เทคนิคในการสอนเล่านิทานแบบเล่าเรื่องซ้ำ ได้แก่ ก่อนเล่านิทานครูถามคำถามให้เด็กคาดคะเน และเชื่อมโยงประสบการณ์เดิม ขณะเล่านิทาน ครูถามคำถามให้เด็กตีความ ให้คาดคะเน ให้แปลความ และตรวจสอบความเข้าใจ หลังเล่านิทานจบควรจัดกิจกรรมให้เด็กได้ทบทวนเรื่องราวที่ได้ฟัง เช่น การทำแผนผังนิทาน หนังสือนิทาน บอร์ดนิทาน กล่องนิทาน ฉากนิทาน แผ่นพับนิทาน ภาพแขวนต่อเนื่อง การเชิดหุ่น ภาพตัดต่อนิทาน บทบาทสมมติ และกะบะนิทาน ทั้งนี้ ครูควรเสริมแรงอย่างเหมาะสมขณะเด็กเล่าเรื่องซ้ำให้ผู้อื่นฟังด้วย (อลิสา เพ็ชรรัตน์, 2539)
4. การอ่านร่วมกัน (Shared Reading)
เป็นกิจกรรมที่มีเครื่องมือหลัก หรือสื่อพื้นฐานคือหนังสือเล่มใหญ่ ซึ่งขนาดของตัวหนังสือใหญ่พอที่เด็กที่นั่งอยู่ข้างหลังมองเห็นคำหรือตัวหนังสือในแต่ละหน้า หนังสือเล่มใหญ่ที่เลือกมาใช้ควรเป็นวรรณกรรมเด็กที่เป็นที่คุ้นเคย และเป็นประเภททายได้
ขั้นตอนของการอ่านร่วมกันเริ่มตั้งแต่การอภิปรายถึงเนื้อเรื่องของหนังสือที่จะอ่าน หรือนำสิ่งของที่สัมพันธ์กับเรื่องมานำเสนอ เพื่อช่วยให้เด็กเริ่มสนใจหนังสือที่จะอ่านและช่วยให้เด็กมีความรู้พื้นฐานในเรื่องที่จะอ่านด้วย อ่านหนังสือให้เด็กฟังทั้งเรื่องเพื่อให้เด็กสนใจ ชี้คำขณะที่อ่านเพื่อให้เด็กคุ้นเคยกับตัวหนังสือ คำ หรือข้อความเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการอ่าน ให้เด็กสนุกกับส่วนที่ทายล่วงหน้าได้
เมื่ออ่านร่วมกับเด็กหลายครั้งแล้วครูควรจัดกิจกรรมที่ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ส่วนย่อยของข้อความที่เป็นประโยค วลี หรือคำ โดยการทำหน้ากากปิดตัวหนังสือเพื่อให้เด็กเห็นคำหรือวลีที่ต้องการเน้นให้ชัดขึ้นและให้เด็กที่เป็นอาสาสมัครอ่าน นอกจากทำหน้ากากแล้วครูอาจใช้กิจกรรมการเติมคำที่เจาะจงที่หายไป (Cloze) กิจกรรมนี้จะชวยให้เด็กเข้าใจได้ว่าข้อความหรือคำไม่ใช่รูปภาพ และเรียนรู้ว่าตัวหนังสือจะมีทิศทาง ซึ่งการเติมคำที่หายไปนี้อาจเป็นประเภททางเสียงและประเภททางตา หรือครูอาจใช้กิจกรรมการเน้นที่คำสำคัญด้วยการทำบัตรคำสำคัญไว้ให้เด็กนำไปเทียบกับคำในหนังสือตามความสนใจ หรืออาจทำบัตรภาพจากในหนังสือให้เด็กจับคู่ภาพกับเนื้อความในหนังสือก็ได้ (จูดิธ พอลลาด สลอทเธอร์, 2543)
หลังจากที่ได้อ่านร่วมกันแล้ว ครูควรจัดกิจกรรมการสื่อภาษาและกิจกรรมการเล่นเกมภาษา เพื่อให้เด็กได้สื่อความหมายสิ่งที่ได้อ่าน กิจกรรมการสื่อภาษา ได้แก่ การทำหนังสือนิทาน การแสดงละคร การเล่าเรื่องซ้ำ การทำงานศิลปะ การทำภาพผนัง ฯลฯ โดยใช้หนังสือเล่มใหญ่เป็นสื่อ ส่วนกิจกรรมการเล่นเกมภาษา ได้แก่ เกมหาคำที่เหมือนกันในนิทาน เกมหาชื่อตัวละคร เกมพูดตามเครื่องหมายวรรคตอน เกมลำดับภาพและข้อความจากเรื่อง เป็นต้น (สุภัทรา คงเรือง, 2539)
5. การสอนอ่านแบบชี้แนะ (Guided Reading)
เป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้เด็กมีความรู้พื้นฐาน ในด้านการอ่านอย่างเหมาะสมกับระดับความสามารถของเด็ก เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างครูกับเด็กเป็นรายบุคคลหรือทำงานกับเด็กเป็นกลุ่มย่อย 4 - 8 คน (Stewig and Simpson, 1995)
ครูควรเลือกหนังสือที่มีระดับความยากเหมาะสมกับกลุ่มเด็ก โดยพิจารณาจากความซับซ้อนของเรื่องและภาษาที่ใช้ในนิทาน ลักษณะของประโยคที่เล่าเรื่อง และภาพประกอบ ที่ช่วยให้เด็กคาดเดาเรื่องและคำได้มาใช้ในการอ่านร่วมกับเด็ก กิจกรรมนี้มีเงื่อนไขสำคัญที่กลุ่มเด็กและครูต้องมีหนังสือที่ครูเลือกไว้ทุกคน เมื่อครูประเมินว่าเด็กต้องได้รับการเพิ่มพูนความรู้พื้นฐานเรื่องใด ครูจะตั้งวัตถุประสงค์ในเรื่องนั้น เพื่อนำมาสอดแทรกในการอ่านร่วมกับกลุ่มเด็ก
ความรู้พื้นฐานในการอ่านของเด็ก เช่น ส่วนประกอบของหนังสือ การใช้หนังสือ การคาดเดาเรื่องราวจากภาพหรือโครงสร้างของประโยค การเชื่อมโยงเรื่องราวกับประสบการณ์เดิมของเด็ก การรู้จักคำใหม่ การเล่นกับเสียงของตัวอักษรหรือพยัญชนะต้นของคำ การคาดเดาคำใหม่จากภาพ และตัวอักษร ฯลฯ (Neuman and Bredekamp, 2000) ทั้งนี้ครูต้องกำหนดช่วงเวลาเฉพาะในการสอนอ่านแบบชี้แนะ ซึ่งในแต่ละสัปดาห์เด็กควรมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมนี้อย่างน้อย 1 ครั้ง สิ่งสำคัญในการสอนอ่านแบบชี้แนะคือ การที่ครูสอนทักษะย่อย ๆ นี้จะต้องไม่ทำมากเกินไปจนเสียอรรถรสของเรื่องที่อ่านด้วยกัน
6. การอ่านอิสระ (Independent Reading)
เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กเลือกอ่านตามความสนใจ สื่อที่ใช้ในการอ่านอาจเป็นหนังสือประเภทต่างๆ คำคล้องจอง เนื้อเพลง หรือสื่อต่างๆ เช่น ป้ายข้อตกลงต่างๆ ในห้องเรียน ป้ายประกาศเตือนความจำ คำแนะนำในการใช้และเก็บของเล่น คำขวัญ คำคล้องจองประจำมุม ป้ายสำรวจชื่อเด็กที่มาโรงเรียน ป้ายแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ ป้ายอวยพรวันเกิด รายการอาหารและของว่างประจำวัน ปฏิทิน รายงานอากาศประจำวัน และป้ายอวยพรวันเกิดเพื่อน เป็นต้น
ครูควรจัดให้เด็กมีเวลาเลือกอ่านอย่างอิสระตามความสนใจ และอาจจัดทำบันทึกการอ่านของเด็ก โดยการให้เด็กเล่าหรือพูดคุยเรื่องที่อ่านให้ครูหรือเพื่อนฟัง ครูช่วยบันทึกสิ่งที่เด็กอ่าน หรืออาจให้เด็กจดชื่อหนังสือที่ตนอ่านลงในสมุดบันทึก
7. การอ่านตามลำพัง (Sustained Silent Reading - SSR)
วิธีการส่งเสริมการอ่านที่ดี คือการให้เด็กมีโอกาสในการอ่านจริงๆ ครูควรจัดให้มีช่วงเวลาเฉพาะที่เด็กทุกคนรวมทั้งครูเลือกหนังสือมาอ่านตามลำพัง ช่วงเวลานี้เด็กจะได้เลือกหนังสือที่ตนชื่นชอบหรือสนใจมาอ่าน แม้ว่าชื่อของกิจกรรมจะเป็นการอ่านเงียบๆ โดยไม่รบกวนผู้อื่น แต่ในทางปฏิบัติเด็กอาจพูดออกเสียงพึมพำระหว่างการอ่านบ้าง ครูไม่ควรบังคับให้ทุกคนเงียบสนิทระหว่างการอ่าน กิจกรรมนี้อาจใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีต่อวัน ควรเป็นเวลาที่เด็กมีอิสระในการเลือกอ่านโดยครูไม่ต้องมอบหมายงานต่อเนื่องจากการอ่านให้เด็กทำ (Stewig and Simpson, 1995: 216)
8. การเขียนร่วมกัน (Shared Writing)
เป็นกิจกรรมที่ครูเขียนร่วมกับเด็กโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เด็กใช้กระบวนการเขียนตั้งแต่การการตัดสินใจแสดงความคิดที่ประมวลไว้ออกมาเป็นภาษาเขียนให้ผู้อื่นรับรู้ด้วยการสร้างตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ สื่อความหมายที่ครอบคลุมความหมายที่ต้องการสื่อ โดยจัดเรียงตำแหน่งสิ่งที่เขียนจากซ้ายไปขวา และบนลงล่าง การเขียนร่วมกันทำให้เด็กรู้ว่าความคิดสามารถบันทึกไว้ด้วยข้อความได้ และทำให้เด็กเกิดทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการเขียน
ในการเขียนร่วมกัน ครูอาจเริ่มต้นด้วยการเชิญชวนให้เด็กสนทนาเกี่ยวกับเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นเนื้อหาที่เด็กริเริ่มและสัมพันธ์กับประสบการณ์จริงของเด็ก ครูแสดงแบบอย่างของการตัดสินใจถ่ายทอดความคิดเป็นข้อความหรือสัญลักษณ์โดยการกระตุ้นให้เด็กช่วยกันบอกสิ่งที่ต้องการสื่อความหมาย แล้วให้เด็กช่วยกันสรุปข้อความที่เด็กช่วยกันบอกให้กระทัดรัด เหมาะที่จะเขียน เพื่อให้เด็กจำข้อความนั้นได้ก่อนลงมือเขียน ให้ครูเป็นคนเขียนข้อความเอง เพื่อป้องกันไม่ให้มีการวิจารณ์เด็กที่เขียนผิดต่อหน้าเพื่อนและครู จนเด็กที่เขียนเสียกำลังใจ และไม่กล้าเขียนอีก ระหว่างที่เขียนควรหมั่นถามให้เด็กติดตามบอกให้ครูเขียน ควรเขียนให้เด็กเห็นลีลามือที่ถูกต้อง เขียนตัวหนังสือขนาดใหญ่พอที่เด็กจะเห็นทิศทางการเขียนที่ถูกต้อง ทั้งนี้ ลายมือที่ครูเขียนมีส่วนสำคัญในการเป็นแบบอย่างให้แก่เด็ก ครูจึงควรระวังเรื่องลายมือและลีลามือที่ถูกต้องสวยงาม เมื่อเขียนเสร็จแล้วจึงอ่านทวนให้เด็กฟัง อาจให้เด็กอ่านทวนอีกครั้ง และให้เด็กวาดภาพประกอบ (ภาวิณี แสนทวีสุข, 2538)
ตัวอย่างกิจกรรมการเขียนร่วมกัน ได้แก่ กิจกรรมสำรวจเด็กมาโรงเรียน ซึ่งให้เด็กได้ลงชื่อมาโรงเรียนตามความสมัครใจ จากนั้นเมื่อถึงเวลาสำรวจรายชื่อเด็กและครูสามารถนำใบลงชื่อนี้มาใช้เขียนร่วมกันว่ามีเด็กมาโรงเรียนจำนวนเท่าไร หรือใครไม่มาโรงเรียนบ้าง กิจกรรมประกาศข่าว โดยการเปิดโอกาสให้เด็กหรือครูแจ้งข่าวสารที่ต้องการให้ทุกคนรับรู้ เมื่อครูเขียนตามที่เด็กบอกแล้วสามารถนำข้อความดังกล่าวมาติดประกาศ เป็นต้น
9. การเขียนอิสระ (Independent Writing)
เป็นกิจกรรมที่ที่เด็กริเริ่มเนื้อหาที่ต้องการสื่อความหมายอย่างอิสระในช่วงเวลาของกิจกรรมสร้างสรรค์และเล่นตามมุม เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กเขียนเพื่อสื่อความหมายตามความสนใจและความสมัครใจ เด็กเป็นผู้เลือกเนื้อหาในการทำกิจกรรม เช่น การเขียนถ่ายทอดความคิดที่ผลงานศิลปะและผลงานการต่อบล็อก การบันทึกชื่อนิทานที่อ่าน การเขียนเพื่อทำอุปกรณ์ประกอบการเล่นสมมุติ เช่น ใบสั่งยา เมนู ฯลฯ การบันทึกการสังเกตในมุมวิทยาศาสตร์
ครูอาจเตรียมกิจกรรมให้เด็กได้เขียนอย่างมีความหมายโดยสัมพันธ์กับหน่วยการเรียน โดยใช้เนื้อหาจากหน่วยการเรียนมาบูรณาการกับการเขียนอิสระตามมุมประสบการณ์ให้เด็กได้เลือกทำ เช่น การพิมพ์ภาพมือและเท้าที่มุมศิลปะในหน่วยตัวเรา การทำเมนูอาหารที่มุมร้านอาหารในหน่วยอาหารดีมีประโยชน์ เป็นต้น (ภาวิณี แสนทวีสุข, 2538)
เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เด็กเลือกอ่านตามความสนใจ สื่อที่ใช้ในการอ่านอาจเป็นหนังสือประเภทต่างๆ คำคล้องจอง เนื้อเพลง หรือสื่อต่างๆ เช่น ป้ายข้อตกลงต่างๆ ในห้องเรียน ป้ายประกาศเตือนความจำ คำแนะนำในการใช้และเก็บของเล่น คำขวัญ คำคล้องจองประจำมุม ป้ายสำรวจชื่อเด็กที่มาโรงเรียน ป้ายแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ ป้ายอวยพรวันเกิด รายการอาหารและของว่างประจำวัน ปฏิทิน รายงานอากาศประจำวัน และป้ายอวยพรวันเกิดเพื่อน เป็นต้น
ครูควรจัดให้เด็กมีเวลาเลือกอ่านอย่างอิสระตามความสนใจ และอาจจัดทำบันทึกการอ่านของเด็ก โดยการให้เด็กเล่าหรือพูดคุยเรื่องที่อ่านให้ครูหรือเพื่อนฟัง ครูช่วยบันทึกสิ่งที่เด็กอ่าน หรืออาจให้เด็กจดชื่อหนังสือที่ตนอ่านลงในสมุดบันทึก
7. การอ่านตามลำพัง (Sustained Silent Reading - SSR)
วิธีการส่งเสริมการอ่านที่ดี คือการให้เด็กมีโอกาสในการอ่านจริงๆ ครูควรจัดให้มีช่วงเวลาเฉพาะที่เด็กทุกคนรวมทั้งครูเลือกหนังสือมาอ่านตามลำพัง ช่วงเวลานี้เด็กจะได้เลือกหนังสือที่ตนชื่นชอบหรือสนใจมาอ่าน แม้ว่าชื่อของกิจกรรมจะเป็นการอ่านเงียบๆ โดยไม่รบกวนผู้อื่น แต่ในทางปฏิบัติเด็กอาจพูดออกเสียงพึมพำระหว่างการอ่านบ้าง ครูไม่ควรบังคับให้ทุกคนเงียบสนิทระหว่างการอ่าน กิจกรรมนี้อาจใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีต่อวัน ควรเป็นเวลาที่เด็กมีอิสระในการเลือกอ่านโดยครูไม่ต้องมอบหมายงานต่อเนื่องจากการอ่านให้เด็กทำ (Stewig and Simpson, 1995: 216)
8. การเขียนร่วมกัน (Shared Writing)
เป็นกิจกรรมที่ครูเขียนร่วมกับเด็กโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เด็กใช้กระบวนการเขียนตั้งแต่การการตัดสินใจแสดงความคิดที่ประมวลไว้ออกมาเป็นภาษาเขียนให้ผู้อื่นรับรู้ด้วยการสร้างตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ สื่อความหมายที่ครอบคลุมความหมายที่ต้องการสื่อ โดยจัดเรียงตำแหน่งสิ่งที่เขียนจากซ้ายไปขวา และบนลงล่าง การเขียนร่วมกันทำให้เด็กรู้ว่าความคิดสามารถบันทึกไว้ด้วยข้อความได้ และทำให้เด็กเกิดทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการเขียน
ในการเขียนร่วมกัน ครูอาจเริ่มต้นด้วยการเชิญชวนให้เด็กสนทนาเกี่ยวกับเหตุการณ์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเป็นเนื้อหาที่เด็กริเริ่มและสัมพันธ์กับประสบการณ์จริงของเด็ก ครูแสดงแบบอย่างของการตัดสินใจถ่ายทอดความคิดเป็นข้อความหรือสัญลักษณ์โดยการกระตุ้นให้เด็กช่วยกันบอกสิ่งที่ต้องการสื่อความหมาย แล้วให้เด็กช่วยกันสรุปข้อความที่เด็กช่วยกันบอกให้กระทัดรัด เหมาะที่จะเขียน เพื่อให้เด็กจำข้อความนั้นได้ก่อนลงมือเขียน ให้ครูเป็นคนเขียนข้อความเอง เพื่อป้องกันไม่ให้มีการวิจารณ์เด็กที่เขียนผิดต่อหน้าเพื่อนและครู จนเด็กที่เขียนเสียกำลังใจ และไม่กล้าเขียนอีก ระหว่างที่เขียนควรหมั่นถามให้เด็กติดตามบอกให้ครูเขียน ควรเขียนให้เด็กเห็นลีลามือที่ถูกต้อง เขียนตัวหนังสือขนาดใหญ่พอที่เด็กจะเห็นทิศทางการเขียนที่ถูกต้อง ทั้งนี้ ลายมือที่ครูเขียนมีส่วนสำคัญในการเป็นแบบอย่างให้แก่เด็ก ครูจึงควรระวังเรื่องลายมือและลีลามือที่ถูกต้องสวยงาม เมื่อเขียนเสร็จแล้วจึงอ่านทวนให้เด็กฟัง อาจให้เด็กอ่านทวนอีกครั้ง และให้เด็กวาดภาพประกอบ (ภาวิณี แสนทวีสุข, 2538)
ตัวอย่างกิจกรรมการเขียนร่วมกัน ได้แก่ กิจกรรมสำรวจเด็กมาโรงเรียน ซึ่งให้เด็กได้ลงชื่อมาโรงเรียนตามความสมัครใจ จากนั้นเมื่อถึงเวลาสำรวจรายชื่อเด็กและครูสามารถนำใบลงชื่อนี้มาใช้เขียนร่วมกันว่ามีเด็กมาโรงเรียนจำนวนเท่าไร หรือใครไม่มาโรงเรียนบ้าง กิจกรรมประกาศข่าว โดยการเปิดโอกาสให้เด็กหรือครูแจ้งข่าวสารที่ต้องการให้ทุกคนรับรู้ เมื่อครูเขียนตามที่เด็กบอกแล้วสามารถนำข้อความดังกล่าวมาติดประกาศ เป็นต้น
9. การเขียนอิสระ (Independent Writing)
เป็นกิจกรรมที่ที่เด็กริเริ่มเนื้อหาที่ต้องการสื่อความหมายอย่างอิสระในช่วงเวลาของกิจกรรมสร้างสรรค์และเล่นตามมุม เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กเขียนเพื่อสื่อความหมายตามความสนใจและความสมัครใจ เด็กเป็นผู้เลือกเนื้อหาในการทำกิจกรรม เช่น การเขียนถ่ายทอดความคิดที่ผลงานศิลปะและผลงานการต่อบล็อก การบันทึกชื่อนิทานที่อ่าน การเขียนเพื่อทำอุปกรณ์ประกอบการเล่นสมมุติ เช่น ใบสั่งยา เมนู ฯลฯ การบันทึกการสังเกตในมุมวิทยาศาสตร์
ครูอาจเตรียมกิจกรรมให้เด็กได้เขียนอย่างมีความหมายโดยสัมพันธ์กับหน่วยการเรียน โดยใช้เนื้อหาจากหน่วยการเรียนมาบูรณาการกับการเขียนอิสระตามมุมประสบการณ์ให้เด็กได้เลือกทำ เช่น การพิมพ์ภาพมือและเท้าที่มุมศิลปะในหน่วยตัวเรา การทำเมนูอาหารที่มุมร้านอาหารในหน่วยอาหารดีมีประโยชน์ เป็นต้น (ภาวิณี แสนทวีสุข, 2538)
หลักการสอนภาษาอังกฤษสำหรับเด็กปฐมวัย
การสอนภาษาอังกฤษนับเปนสิ่งจําเปนสําหรับการเรียนรูของเด็กในยุคปจจุบัน
โดยเฉพาะตาม
แนวนโยบายการเตรียมความพรอม.เด็กสุประชาคมอาเซียนที่มุงเนนการใหเด็กใชภาษาอังกฤษเปนเครื่องมือ
ในการสื่อสารกับคนตางชาตางวัฒนธรรมอื่น..
อยางไรก็ตาม แนวการสอนภาษาอังกฤาสสําหรับเด็กควร
คํานึงถึงพัฒนาการตามวัยและความสามารถในการรับรูของเด็กเปนสําคัญ
ซึ่งตามหลักพัฒนาการของเด็ก
วัยอนุบาลนั้น
เด็กวัยนี้เปนวัยที่เรียนรูจากความสนใจเปนหลัก (Emotional-based
Learning) การเรียนรูจาก
การเลน
การมีปฏิสัมพันธรวมกับผูใหญ ผานแนวการสอนแบบ Whole
Language ที่เนนการจดจําโครงสราง
รูปคํา (Word-shape
Recognition) จะนําไปสูความสนุกสนาน ความรูสึกอยากติดตาม
และที่สําคัญเกิดการ
จดจําและสามารถเชื่อมโยงการใชคําศัพทที่เรียน
สูชีวิตประจําวัน
เทคนิคการสอนคําศัพทภาษาอังกฤษสําหรับเด็กวัยอนุบาล
1. การเลือกคําศัพท์
ควรจัดคําศัพทใหอยูในหมวดหมูเดียวกันจะชวยใหจําไดงายขึ้น เชน
ศัพทเกี่ยวกับอาหาร
เครื่องใชไฟฟา อวัยวะรางกาย สีตางๆ
เปนตน
2. วิธีการสอน
เนนใหเด็กไดฝกการใชศัพทการสอนศัพทเพียงครั้งเดียวไมพอ ลจะตองทบทวนบอยๆ
ดวยวิธีการอัน
หลากหลายเพื่อมิใหเด็กเกิดความเบื่อหนาย
และควรหมั่นทบทวนบอยๆ เพราะถาศัพทที่สอนไปแลวไมไดใช
เด็กก็อาจลืมได
3. การสอนคําศัพทใหม
การสอนศัพทใหมควรสอนใหผานประสาทสัมผัสใหมากที่สุดโดยใชรูปแบบประโยคหรือศัพทที่เด็ก
เคยเรียนรูมาแลวโดยมีคําที่เปนศัพทใหมปนอยูเพียงคําเดียว
แลวใหเดาความหมายของคําศัพทนั้น วิธีนี้จะ
ทําใหนักเรียนจําความหมายไดดีกวาแบบบอกตรงๆ
4. การเชื่อมโยงคําศัพทภาษาอังกฤษกับภาษาไทย
การแปลความหมายของศัพทเปนภาษาไทยตรงๆ
ควรทําตอเมื่อเห็นวาไมอาจใชวิธีอื่นที่ดีกวา
เหมาะสมกวาการใหความหมายของคําในภาษาอังกฤษเปนภาษาไทยนั้น
ไมเสียหายอะไรแตการแปลแบบ
คําตอคําจะทําใหแปลไมรูเรื่องเขาไปใหญ
5. สื่อประกอบการสอน
ควรใชสื่อของจริงมาประกอบในการสอนคําศัพทใหม
ใหตัวอยางแกเด็กใหมากเพื่อใหเด็กใชตัวอยาง
นั้นๆ มาทําความเขาใจ
6. การปฏิบัติตอเด็ก
เวลาตอบใหเด็กตอบเปนกลุมกอน เพื่อใหเด็กคนอื่นๆไดเรียนรูไปพรอมๆกัน
ไมควรแบงกลุมเด็กเกง
เด็กออนพยายามใหเด็กเกิดการโตตอบอยางรวดเร็ว
แตไมควรคาดคั้นเด็กที่ตอบไมไดใหตอบใหไดแต
พยายามชวยเหลือเด็กโดยการแนะเปนแนวทางไปเรื่อยๆแทน
ลําดับขั้นในการสอนศัพทขั้นพื้นฐาน
1. ครูออกเสียงคําศัพททีละคํา 2-3
ครั้ง อยางชัดเจน
2.
ครูใหความหมายของคําศัพทดวยการใชสื่ออุปกรณ
หรือแสดงทาทางประกอบใหเด็กลองเดาดูกอน
3.
ครูพูดตัวอยางประโยคประกอบดวยคําศัพทนั้นซ้ําๆ 2-3 ครั้ง
โดยใหเด็กลองหัดฟงและพูดไปดวย
4. ครูทบทวนคําศัพทที่สอนผานกิจกรรมการรองเพลง
เลานิทาน หรือ เปดโอกาศใหเด็กไดเลนเกมทาง
ภาษาที่เกี่ยวของกับคําศัพทที่เรียนมา
เพื่อเปนการทบทวนหรือเรียนรูซ้ำ
การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษในระดับเด็กอนุบาล
สามารถสอนไดหลายวิธีการ เชน เพลง เกม
นิทาน ดังตอไปนี้
รูปแบบการสอนคําศัพทภาษาอังกฤษ
การสอนภาษอังกฤษสามารถสอนไดในหลานรูปแบบ
ในที่นี้ยกตัวอยางใน 3 รูปแบบ คือ การสอน
คําศัพทภาษาอังกฤษผานนิทาน
การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษผานเพลง การสอนภาษาอังกฤษผานเกม
1. การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษผานนิทาน
นิทานจัดวาเปนสื่อที่ดีเหมาะที่จะนําไปสอนภาษาอังกฤษ
โดยเฉพาะนิทานประกอบภาพ เพราะภาพ
และเนื้อเรื่องในนิทานถือเปนการจําลองเรื่องราว
เหตุการณในโลกกวางเปนเรื่องราวสั้นๆ งายๆ สําหรับเด็ก
เนื้อเรื่องนาสนใจพรอมภาพประกอบชวยใหเด็กสามารถเชื่อมโยงคําศัพทกับรูปภาพและตัวอักษร
ทําใหเด็ก
นอกจากจะไดรับความสนุกสนานเพลิดเพลิน
มีคติสอนใจ แลวยังเปนการสรางประสบการณในการฟงสิ่งที่
ออกจากปากผูเลาจริงๆ
ทั้งความสามารถในการออกเสียง การจดจําโครงสรางรูปคําและการรูวิธีการนําไปใช
ในการสนทนา
อันจะนําปสูการรักการอานเด็กๆ และเกิดสนใจอยากเรียนรูคําศัพทตางๆ มากขึ้น
เทคนิคการใชนิทานเพื่อสอนภาษาอังกฤษ
1) การเลือกนิทาน
นิทานที่จะเลือกควรเปนนิทานที่มีคําสั้นๆ
เนนนิทานที่มีภาพประกอบ อาจเปนนิทานเนนสอนคําศัพท
หรือนิทานที่เปนเรื่องที่เด็กสามารถมีกิจกรรมและมีสวนรวมกับเรื่องไดดี
ตามความสนใจของเด็ก มีการใชภาษาที่เหมาะสมตามวัยและพัฒนาการของเด็ก
เนื้อเรื่องมีการใชคําศัพทซ้ำ ใชคําคลองจอง และมีรูปแบบประโยคที่เขาใจงาย
เรื่องราวไมซับซอน
2) การเล่านิทาน
กอนการเลานิทาน
ควรพูดคุยกับเด็กในหัวขอที่เกี่ยวกับนิทานอาจเปนประสบการณของครูเอง
หรือของเด็กคนใดคนหนึ่งในหอง
และเนนการจดจําคําศัพทและสํานวนของภษาตางประเทศ ดวยการใชคํา
ซ้ำ
สรางบรรยากาศของการใชสํานวนของเจาของภาษา เชน
ใหเริ่มตนการเลานิทานดวยการบอกเด็กเปน
ประโยคภาษาอังกฤษ เชน I’m
going to tell you a story about …….หรือ Once upon the
time…...เพื่อ
เด็กจะสามารถจํารูปแบบการเลานิทานจากครูไดโดยไมตองสอน
ใชน้ำเสียงใหเหมาะกับเรื่องและอารมณของตัวละครที่สวมบทบาทอยูมีการใชเสียงสูง
ต่ำเปนจังหวะ โดยเมื่อถึงจุดสําคัญของเรื่องควรเปดโอกาสใหเด็กมี
สวนรวม
เชนการตั้งคําถามเปนภาษาอังกฤษในขณะที่เด็กกําลังอยูในอารมณรวมอยู
โดยอาจใบเปนทาทางตามเรื่องเพื่อใหเด็กเกิดความสนุกสนานมากขึ้นควรใชทาทางและสีหนาประกอบการเลา
และพยายามใหเด็กมีโอกาสทํากิจกรรมที่เคลื่อนไหวโดยอาจใหเด็กทําทาทางตามตัวละครในเนื้อเรื่อง
โดยมีครูเปนผูออกเสียง พูดประโยคตามทาทางนั้นๆ อยางชาๆ
เพื่อใหเด็กจําทาทางและสําเนียงของภาษา พรอมกับความเพลิดเพลิน
นอกจากนี้นักเรียนยังเกิดความรูสึกวาตนเองมีสวนรวมอยูตลอดเวลา
ทําใหการเรียนรูสนุกมากยิ่งขึ้น
ครูสามารถใชเกมเพื่อเปนการทบทวนคําศัพทที่เกี่ยวของกับนิทาน
มาตอยอดทํากิจกรรมที่หลากหลายขึ้นเพื่อใหเด็กเขาใจและคุนเคยกับภาษาและคําศัพทในเนื้อเรื่อง
ครูสามารถเลาซ้ำหรือทบทวนอยูเสมอ
3) การจัดการชั้นเรียน
ครูอาจจะลองจัดที่นั่งใหเด็กใหมใหเด็กลงมานั่งที่พื้นลอมรอบตัวครู
หรือ ออกไปเลานิทานกลางแจงใตรมไม เพื่อสรางบรรยากาศแปลกใหมและพิเศษ
4) สื่อประกอบการเล่านิทาน
ควรหาอุปกรณและสื่อที่ดึงดูดใหเด็กสนใจวาจะเกิดอะไรขึ้นในชั่วโมงนั้นๆ
เชน การนําเพลงมาใชประกอบเนื้อเรื่องมาเปด
เพื่อใชเสียงเพลงกระตุนความรูสึกของเด็กอาจใหเด็กเคลื่อนไหวตามจังหวะหรือแสดงทาประกอบคําศัพทในเพลงอยางงายหรืออาจใชเทคนิค
Finger
Play มาสอนคําศัพทในนิทาน การนําตุกตามาสมมุติ
เปนตัวละคร การจัดทําฉากนิทาน3มิติ
2. การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษผ่านเพลง
เพลงเปนสิ่งที่มีประโยชนตอการจัดการเรียนรู
ครูผูสอนสามารถใชเพลงสอดแทรกเขาไปในบทเรียน
หรือในขณะดําเนินการสอนทุกขั้นตอน
ทั้งนี้ขึ้นอยูกับความสอดคลองในเนื้อหาสาระและจุดประสงคการ
เรียนรูที่ตองการใหเกิดกับผูเรียนเจริญเติบโตทั้งทางดานรางกาย
อารมณ สังคม และสติปญญา ธรรมชาติ
ของเด็กชอบการเลนสนุกสนาน
ตองการแสดงออก และการรองเพลงอยูแลว หากครูผูสอนไดนําเพลง
ภาษาอังกฤษมาประกอบการเรียนการสอน
ใหบทเรียนมีความหมาย นาสนใจและสนุกสนานมีชีวิตชีวา
ยอมจะชวยใหการสอนภาษาอังกฤษมีความหลากหลายมากขึ้น
ไมจํากัดอยูแคการจดจํากฎเกณฑเพียง
อยางเดียว
เปนการทบทวนเนื้อหาไดเรียนรูไปแลว ใหผูเรียนจดจําไดดียิ่งขึ้น
และปลูกฝงเจตคติที่ดีตอ
ภาษาอังกฤษ
เทคนิคการใช้เพลงเพื่อสอนภาษาอังกฤษ
1) การเลือกเพลง
1. เพลงนั้นตองไมยาวเกินไป เพลงควรมีทํานอง คํารองที่ชัดเจน
และไมยาวจนเกินไป
2. เพลงควรมีทํานองที่ซ้ำกัน ซึ่งเปนการงายตอการเรียน
3. เนื้อหาควรถูกตองตามไวยากรณ เชน Subject Verb,
Agreement และ Word Order
4. เลือกเพลงใหเหมาะสมกับอายุและระดับชั้นของผูเรียนดังนั้น
กอนการนําเพลงมาใชประกอบการเรียนการสอน จึงควรพิจารณาลักษณะของเพลงวาเหมาะสมเพียงไร
2) ลําดับขั้นตอนการสอนเพลง
1. ครูอธิบายสั้นๆใหนักเรียนเขาใจ เปนบทเพลงเกี่ยวกับอะไร
ครูอาจใชอุปกรณการสอนชวยแสดงความหมายของคําศัพทบางคําที่นักเรียนไมเคยเรียนมากอน
2. ครูรองใหนักเรียนฟง 1-2 จบ
3. ครูรองนํา 1 หรือ 2 บรรทัด
ใหนักเรียนรองตามเมื่อแนใจวานักเรียนรองไดถูกตองทั้งคํารองและทํานองจึงรองนําบรรทัดตอไป
โดยรองทวนบรรทัดตนๆกอนทุกครั้ง
4. ครูรองพรอมกับนักเรียนตั้งแตตนจนจบ ถาเนื้อเพลงยาวและมีคํายาก
ครูอาจเขียนเนื้อเพลงใหนักเรียนดูในขั้นตอนก็ได อยางไรก็ตาม
ไมควรเขียนเนื้อเพลงใหนักเรียนดูกอน เพราะจะทําใหนักเรียนเปนกังวลตอการ
อานหรือสะกดตัวมากไป
5. ครูเขียนเนื้อเพลงใหนักเรียนอานและคัดลอกลงในสมุด
ดังนั้นจะเห็นไดวา
การสอนเพลงใหถูกวิธีตองปฏิบัติอยางมีขั้นตอน ครูผูสอนตองวางแผน เตรียมสื่ออุปกรณ์
ตางๆใหพรอมโดยเฉพาะตัวครูเอง
ตองมีความพรอมเปนอับดับแรก อยางไรก็ตามกอนการรองเพลงทุกครั้งตองไมลืมที่จะบอกผูเรียนวาเพลงนั้นๆเปนคํารองและทํานองของใคร(ถาทราบ)
เพื่อใหเกียรติผูแตงคํารองและทํานองนั่นเอง
3) การจัดการเรียนการสอน
ในการสอนเพลงภาษาอังกฤษ
ไมใชแตตองการใหผูเรียนสามารถรองเพลงไดถูกตองทั้งคํารองทํานองและจังหวะเทานั้น
แตครูผูสอนยังตองใชวิธีการตางๆใหผูเรียนรองเพลงอยางเขาใจความหมายและวัฒนธรรมเจาของภาษา
และใชเพลงเปนเครื่องมือเสริมประสบการณตางๆไดดวยตนเอง
1.
เลาเรื่องหรือสรางเรื่องปากเปลาเกี่ยวกับเพลงนั้น
2. เขียนเรื่องเกี่ยวกับเพลงนั้น
3. ดัดแปลงเนื้อเพลงเปนบทสนทนาสั้นๆ
4.
นําแบบประโยคที่พบในบทเพลงที่เรียนในบทที่แลวมาเปนตัวอยางในการสรางประโยคใหม
5. หาคําใหมมาใชประโยคเดิมในบทเพลงนั้น
6.
คิดหาทางายๆหรือการแสดงประกอบจังหวะงายๆมาใชประกอบ
ดังนั้น สรุปไดวา
การใชเพลงเพื่อสงเสริมทักษะการเรียนรูทางภาษาจะมีประโยชนโดยตรงตอผูเรียนมาก
หากครูผูสอนเขาใจจุดประสงคการสอนเพลง เลือกเพลงไดเหมาะสมกับระดับของผูเรียน
และปฏิบัติอยางมีขั้นตอน
3. การสอนคําศัพทภาษาอังกฤษผ่านเกม
เกมเปนหนึ่งในการจัดการเรียนการสอนโดยเฉพาะเกมภาษาอังกฤษซึ่งภาษาอังกฤษมีความสําคัญ
ตอการเรียนการสอนอยูเสมอ
เพราะภาษาอังกฤษเปนภาษาระหวางชาติที่ใชกันอยางแพรหลายทั่วโลกการใช
เกมประกอบการสอนภาษาอังกฤษจะชวยทําใหผูเรียนสนุกสนานกับบทเรียน
ไมนาเบื่อ เปดโอกาสใหผูเรียน
ฝกความกลาในการใชภาษา
ทําใหผูเรียนมีความมั่นใจเมื่อนําภาษาอังกฤษไปใชในชีวิตประจําวัน และชวย
ใหผูเรียนมีทัศนคติที่ดีตอการเรียนการสอนภาษาอังกฤษดวย
สวนประกอบของเกมไดแก ชื่อเกม จุดมุงหมาย
การแบงกลุม อุปกรณ
และขอเสนอแนะในการเลนเกมผูสอนและผูเลนควรดัดแปลงแตละเกมใหเหมาะสมกับ
สภาพหองเรียน ระดับความรู และความสามารถของผูเรียนดวย
เทคนิคการใช้เพลงเพื่อสอนภาษาอังกฤษ
1) การเลือกเพลง
เกมภาษาแบงได 2 ประเภทคือ
1. Communicative Games เกมนี้มีจุดประสงคใหผูเรียนสื่อสาร
สนทนา แลกเปลี่ยน หรือปรับปรุงแตง
ขอมูล โดยใชโครงสราง
ภาษาหรือคําศัพทที่กําหนดให
2. Non-communicative
Games เกมนี้สรางขึ้นเพื่อใหผูเรียนไดรับความสนุกสนาน คลายความเครียด
สวนใหญเกมเหลานี้จะเนนในรูปการแขงขัน มีผูแพ ผูชนะ
2) ลําดับขั้นตอนการสอนเพลง
1.ขั้นเลือก ควรคํานึงถึงภาษาที่ใช
ควรเหมาะกับระดับความสามารถของผูเรียนและขนาดของชั้นเรียนดวย
2.ขั้นเตรียมการ เตรียมการใชเกมกอนลวงหนาเปนอยางดี
โดยเฉพาะอุปกรณที่จะใชในการเลนเกม
3.ขั้นการใชเกม อธิบายวัตถุประสงคของเกม และวิธีการเลน
พรอมทั้งกําหนดกติกาอยางชัดเจน เพื่อใหเกมเปนไปอยางมีระเบียบ
จากนั้นลงมือเลนเกม โดยแบงกลุมตามความเหมาะสม
4.ขั้นประเมินผล ถาหากการเลนเกมเปนแบบลักษณะการแขงขัน
ควรใหคะแนนสําหรับกลุมที่ทําไดถูกตองโดยการเขียนคะแนนบนกระดาน
กลุมใดที่ทําผิดพลาดในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
3) การจัดการเรียนการสอน
1.ทําความคุนเคยกับเกมมากอนนําไปใชประกอบการสอน
โดยอานกติกาเลนหลายๆครั้งเพื่อใหเกิดความ
เขาใจที่ดี
2.เลือกใชใหเหมาะสมกับขั้นตอนการสอน โดยพิจารณาวาควรใชเกมใดในขั้นตอนใด
3.อธิบายวิธีการเลนเกมแกผูเรียนอยางชัดเจน จงตระหนักเสมอวาเด็กทุกคนในชั้นเรียนเขาใจวิธีการเลน
4.ควรแสดงวิธีการเลนดวยตนเอง โดยยืนอยูหนาชั้นเรียน
เพื่อใหผูเรียนทั้งชั้นมองเห็นอยางทั่วถึง
5.ควรปฏิบัติตามกติกาที่กําหนดไวในแตละเกมอยางเครงครัด
6.ควบคุมเกมในขณะที่เลนอยาใหผูเลนสงเสียงดังมากเกินไป
ทําใหระเบียบวินัยของหองเรียนเสีย
7.สังเกตปฏิกิริยาของผูเรียนแตละคนในขณะที่เลน
ไมควรติเตียนผูกระทําผิดอยางรุนแรง
8.อยาเลนเกมนั้นนานจนเกินไป แตละเกมควรใชเวลา 8-10 นาที
9.อยาใชเกมบางอยางบอยนัก เพราะจะทําใหผูเรียนไมกระตือรือรนในการเลน
10.ศึกษาขอเสนอแนะของเกมแตละอัน
เพื่อดัดแปลงวิธีเลนใหสอดคลองตามสภาพการเรียนการสอน
ต้วอย่างกิจกรรมการสอนภาษาอังกฤษ
ชื่อเพลง Family Finger
Play
คําศัพท์น่ารู้
1. Daddy
2. Mommy
3. Brother
= พอ
= แม
= พี่/นอง ชาย
4. Sister
5. Baby
= พี่/นอง สาว
= นองเล็ก
ประโยคน่ารู้
1. Where are
you? = คุณอยูที่ไหน
2. Here I am? = ฉันอยูนี่
3. How do you
do? = สบายดีหรือ
สื่อ
1. สีสําหรับวาดนิ้วหรือถุงมือ
2. ถุงมือผา
3. เพลง “Family
Finger Play”
Daddy
finger, daddy finger, where are you? Here I am, here I am. How do you do?
Mommy
finger, Mommy finger, where are you? Here I am, here I am. How do you do?
Brother
finger, Brother finger, where are you? Here I am, here I am. How do you do?
Sister
finger, Sister finger, where are you? Here I am, here I am. How do you do?
Baby
finger, Baby finger, where are you?Here I am, here I am. How do you do?
วิธีการสอน
1.
ครูรองเพลงและทําทาทางประกอบใหเด็กดู 1-2 รอบ
2.
ใหเด็กรองเพลงและทําทาทางประกอบพรอมกับครู 1-2 รอบ
3. ใหเด็กรองเพลงและทําทาทางดวยตนเอง
สรุปได้ว่า เทคนิคการสอนภาษาอังกฤษอันดับแรกครูควรวางแผนการจัดประสบการณ์ก่อน
กำหนดว่าจะสอนเด็กในเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรและเด็กได้รับอะไรจากการเรียนการสอน ครูควรจัดกิจกรรมสำหรับให้มีความหลากหลายเป็นขั้นตอนจากง่ายไปหายาก โดยอาจจะใช้นิทาน เพลง หรือเกม เข้ามาช่วยในการจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นให้เ็ดกอยากเรียนรู้มากขึ้นและคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล
ควรจัดกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาเด็กแบบองค์รวมทั้งการฟัง พูด อ่าน เขียน เปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกทำในกิจกรรมที่เด็กชอบหรือเด็กสนใจ
ซึ่งถ้าเด็กได้ทำในสิ่งที่ชอบ เขาก็สามารถเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี
อ้างอิง https://goo.gl/Jhl9An
อ้างอิง https://goo.gl/IxNFRW
อ้างอิง file:///C:/Users/Administrator/Downloads/Documents/ASEAN%20FAMILY%20NEW.pdf
อ้างอิง https://goo.gl/IxNFRW
อ้างอิง file:///C:/Users/Administrator/Downloads/Documents/ASEAN%20FAMILY%20NEW.pdf
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น